“ศ.นพ. ธีระวัฒน์”โพสต์ไขข้อสงสัย ยาประเภทไหนจะสามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ พบว่ามีการผันแปรของรหัสพันธุกรรมในแทบทุกส่วนอยู่เรื่อยๆ ชี้!ต้องจับตามองว่าจะมีการพัฒนาในทางดุร้ายขึ้น กระจายได้เร็วขึ้น และสามารถติดต่อได้กว้างขวางในทางลมหายใจ
วันนี้ (3 ก.พ.63)นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์จุฬา สภากาชาดไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กให้ความรู้และความเข้าใจ เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จากกรณีที่มีข่าวรพ.ราชวิถี ใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี และยาต้านไข้หวัดใหญ่ ในการดูแลอาการผู้ป่วยไวรัสโคโรนาที่โคม่าจนอาการดีขึ้นใน 48 ชม.นั้น โดยระบุว่า
“จากที่ไวรัสตัวนี้เป็นไวรัสในกลุ่มRNA ซึ่งมีไวรัสอื่นๆหลายตัวซึ่งมีกระบวนการในการเข้าสู่มนุษย์ ผลิตตัวเพิ่มจำนวนในเซลล์มนุษย์และกระจายไปทั่วร่างกาย อีกทั้งยังมีกลไกในการหลีกหนีการตรวจจับตรวจตราของระบบภูมิคุ้มกัน แต่เมื่อสามารถตั้งตัวได้กลับยั่วยุระบบภูมิคุ้มกันให้มาทำสงครามกันเกิดเป็นการอักเสบอย่างมโหฬารและทำให้โรครุนแรงหนักขึ้นไปอีก
ไวรัสโคโรน่ายังมีความชาญฉลาดจากการที่มีวิวัฒนาการตนเองข้ามมาจากค้างคาวสู่สัตว์เดินดินจนลงมาสู่คน และเมื่อเข้าคนก็รู้จักปรับตัวเองให้หน้าตาเปลี่ยนไปจนภูมิคุ้มกันจำเพาะที่เริ่มจะสร้างขึ้นเพื่อที่จะทำลายไวรัสมองไม่เห็นจำไม่ได้ และเป็นที่กริ่งเกรงกันว่าเมื่อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้เกิดการติดเชื้อในวงกว้างและคนในพื้นที่นั้นๆ เริ่มจะมีภูมิคุ้มกันของตนเองหลังจากที่ได้รับไวรัสตัวนี้โดยที่ติดเชื้อไปในปริมาณน้อยๆโดยที่ไม่มีอาการหรืออาการแต่น้อย เปรียบเสมือนกับได้รับวัคซีนตามธรรมชาติ

แต่เมื่อไวรัสเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปแม้ว่าร่างกายมนุษย์จะพอจำได้ก็ตาม แต่แทนที่จะเข้าไปกำจัดกลับช่วยเหลือไวรัสและทำให้กระบวนการของโรคกลับรุนแรงขึ้นไปอีก อย่างที่เราเห็นในไวรัสไข้เลือดออกที่แม้ว่าเมื่อปีที่แล้วจะเคยติดเชื้อแล้วก็ตาม แต่ปีต่อมาเกิดมีไวรัสไข้เลือดออกไม่ใช่ตัวเดิมโรคกลับเลวลงไปอีก (antibody dependent enhancement)
ไวรัสโคโรนานั้น แม้จะมีหลายตัวที่อยู่ในคนแล้วก็ตามและทำให้เกิดอาการเล็กๆน้อยๆ เหมือนไข้หวัด ไอจาม น้ำมูกไหล อย่างเช่นไวรัสโคโรน่า NL 63 และปกติทำให้เกิดอาการน้อยนิดได้ในเด็กคนแก่ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องได้แต่แล้ว ปี 2018 (รายงานในปี 2020) ปรากฏว่าเด็ก 23 รายมีปอดบวมอย่างรุนแรงหรือหลอดลมอักเสบ ทั้งนี้ เกิดขึ้นจากการที่มีไวรัสแยกเป็นกลุ่มใหม่ (subgenotypes) คือ C3 และ B มีการ ผันแปรของรหัสพันธุกรรมที่ ตำแหน่ง 1507 L ใน ส่วนหนามที่จะจับกับเซลล์ที่จะทำให้ไวรัสเข้าเซลล์ (spike Protein receptor binding domain) ทำให้เก่งกาจขึ้นในการที่วิ่งเข้าเซลล์ได้
ในส่วนของไวรัสโคโรน่า 2019 จากการติดตามรหัสพันธุกรรมทั้งตัวตั้งแต่เริ่มที่มีการระบาดพบว่ามีการผันแปรของรหัสพันธุกรรมในแทบทุกส่วนอยู่เรื่อยๆ ซึ่งจะต้องจับตามอง ว่าจะมีการพัฒนาในทางดุร้ายขึ้น กระจายได้เร็วขึ้นและสามารถติดต่อได้กว้างขวางในทางลมหายใจ เนื่องจากไม่มีวัคซีนหรือยาใดๆ ชัดเจนในไวรัสตระกูลRNA ทั้งหมดดังที่กล่าวข้างต้น ทั้งนี้ วิธีการที่ง่ายที่สุดคือรวบรวมยาต้านไวรัสครอบจักรวาลง่ายๆที่มีอยู่ขณะนี้ โดยมีข้อได้เปรียบตรงที่มีการใช้มาก่อนและรู้ขนาด รู้การบริหารยาและผลข้างเคียงต่างๆ อาทิ ยาอินเตอร์เฟียรอน I และ II เป็นต้น
- แพทย์ราชวิถี เตือน ห้ามซื้อยาต้านเอดส์มาใช้ป้องกัน โคโรนาเองสุดอันตราย
- ในหลวง-พระราชินี พระราชทานเวชภัณฑ์ให้ชาวอู่ฮั่น
วิธีการถัดมา โดยการพิเคราะห์กระบวนการที่ไวรัสมีการเพิ่มจำนวนในเซลล์ในหลอดทดลองต่างๆ และไปเทียบเคียงกับสารต่างๆที่อยู่ในสารบบสารบัญว่าจะมีตัวใดสามารถออกฤทธิ์ขัดขวางในขั้นตอนกลไกต่างๆ วิธีการอีกวิธีเป็นวิธีที่มีการค้นหากันทั่วโลกในขณะนี้ โดยการพัฒนาขึ้นมาใหม่หรือใช้ยาที่มีประสบการณ์ในการใช้ในช่วงตั้งแต่อีโบล่า ซาร์ส เมอร์ส และปรับนำมาใช้กับโคโรน่า 2019 ทั้งนี้สามารถพัฒนาเป็นทั้งวัคซีนและยารักษาคนที่ติดเชื้อและเกิดอาการแล้วโดยขัดขวางกระบวนการที่ไวรัสจะเข้าเซลล์ S1 และ/หรือ S2 spike
กระบวนการที่ขัดขวางการแยกไวรัสออกเป็นชิ้นในเซลล์และจะทำการเพิ่มจำนวน เช่น ยาต้านไวรัสเอดส์ ยาครอบจักรวาล ที่ขัดขวางเอนไซม์ในการเพิ่มจำนวนไวรัส RNA dependent RNA polymerase inhibitor ดังที่มีการใช้ในโคโรน่า 2019 ในผู้ป่วยที่สหรัฐ remdesivir และแม้แต่ favipiravir ที่เป็นยาที่ขึ้นทะเบียนในประเทศญี่ปุ่นสำหรับรักษาไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรง และคณะของเราได้ใช้ในการรักษาหนูที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้าในสมองและรอดชีวิตได้ 10% แต่อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์และประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นในหลอดทดลองหรือที่ใช้ในผู้ป่วยเองยังไม่สามารถสรุปผลได้
สำหรับข้อแนะนำปฏิบัติในประเทศจีนขณะนี้มีตั้งแต่การใช้อินเตอร์เฟียรอนอัลฟ่า 5 ล้านหน่วย วันละสองครั้ง ยาผสม looinavir/ritinavir (ขนาด 400/100มก วันละ 2 ครั้ง) ทั้งนี้ จากประสบการณ์ในฮ่องกงจากการรักษาโรคซาร์ส พบว่า ยาผสมสองตัวกับยาต้านไวรัส ribavirin ช่วยลดความรุนแรงของอาการปอดบวมและเช่นเดียวกันยาตัวอื่นที่เพิ่มขึ้นมาและอาจจะใช้ได้ เป็นยาครอบจักรวาล nucleiside analogs เช่น fabiravir ribavirin และการใช้ร่วมกันระหว่างoseltamivir กับ fabiravir จะดีกว่า oseltamivir โดดๆ
นอกจากนั้น remdesivir ที่เป็นยาอีกดัวที่ครอบจักรวาล ดูว่าอาจจะมีภาษีดีกว่าตัวอื่นในสัตว์ทดลอง ที่ติดเชื้อเมอร์ส และอยู่ในการศึกษาระยะที่สามในคนที่ติดเชื้ออีโบล่า แต่ยังคงถือว่าเป็นขั้นศึกษาติดตาม
การใช้ oseltamivir zanamivir peramivir มีมานานและแพร่หลายในไข้หวัดใหญ่ รวมทั้ง oseltamivir มีการใช้แพร่หลายในประเทศจีนขณะนี้ที่ติดเชื้อโคโรน่า 2019 แต่ยังไม่มีข้อมูลถึงประสิทธิภาพชัดเจน

ทั้งนี้ โดยที่ประเทศจีนมีการใช้ยาหลายชนิดประกบประกอบกันในผู้ป่วยที่มีอาการปอดบวมและอาการหนักอยู่แล้ว แต่ก็ยังสรุปผลไม่ได้ และยังมียาอีกหลายตัวที่ขัดขวางการเกาะติดเข้าเซลล์ EK1. Abidol. ขัดขวางการสร้าง RNA เช่น TDF และ 3TC ยาต้านการอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นยาปัจจุบันหรือสมุนไพรต่างๆ
และกล่าวโดยรวม จากคณะทำงานของประเทศจีนที่ได้รับการสนับสนุนการวิจัยของรัฐบาลจีนเอง ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสโคโรน่า 2019 ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนป้องกันหรือยาที่ใช้รักษา
ข้อมูลในบทความนี้เรียบเรียงโดยใช้โครงจาก วารสาร Bioscience Trends 28 มกราคม 2020 และรายงานการรักษาในคนที่ติดเชื้อไวรัส RNA ชนิดต่างๆ และกระบวนการในการเพิ่มจำนวนและแพร่กระจายในมนุษย์”
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
องค์กรสัตว์อินโดฯ ร้องรัฐบาล “ปิดตลาดค้าสัตว์ป่า” หวั่นเป็นต้นต่อแพร่ “โคโรนา”
