ส่อง ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต พร้อมใช้หรือไม่?

ส่อง ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต พร้อมใช้หรือไม่?


ในยุคปัจจุบันนนั้น วิถีความหลากหลายทางเพศ ได้รับการยอมรับมากขึ้นตามลำดับทั่วโลก รวมทั้งมีสิทธิและความเท่าเทียม ที่สังคมเปิดกว้าง ต่างจากอดีตที่เคยเป็นมา

ทั้งนี้ สังคมไทยได้ก้าวมาถึงการออกกฎหมายเพื่อความเท่าเทียมในสิทธิ นั่นคือ ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต เพื่อให้กลุ่มเพศที่3 มีสิทธิที่ สร้างชีวิต ตามวิถีที่เขาและเธอเลือก ภายใต้เงื่อนไขทางกฎหมายบางประการที่รัฐก็เริ่มจะเอื้อออกมาให้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และพยายามที่จะขยับความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในทุกเพศมากขึ้น

แต่คำถามที่ตามมา คือ พ.ร.บ.คู่ชีวิต เอาเข้าจริงแล้ว สิทธิ์ที่ว่ามันเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนที่มีความรัก แต่มีความหลากหลายทางเพศได้มากน้อยแค่ไหน

 

 

ไพโรจน์ กัมพูสิริ รองอธิการบดีฝ่ายกฎหมายและบริหารศูนย์ลำปาง และอาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้พูดคุยถึงร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ว่า ตัวอย่างในต่างประเทศที่ได้เคยพบเห็น โดยเฉพาะในยุโรป ถึงวันนี้ มี 20 ประเทศ ที่มีกฎหมายรองรับการสมรสในเพศเดียวกัน และในการพูดคุยเรื่องนี้ส่วนตัวได้พูดมาหลายครั้งมาก เพื่อเป็นการชี้นำสังคมให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และสื่อมวลชนนำเสนอเรื่องนี้ ด้วยความที่ไม่เข้าใจในข้อกฎหมาย และไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้นำเสนอร่างกฎหมายนี้ คือ กรมคุ้มครองสิทธิ และกฤษฎีกา รวมทั้งมีการดึงข้อกฎหมายที่ผิดเพี้ยนไม่ตรงกับความเป็นจริง ที่สำคัญร่างฉบับนี้คือความหวัง เพื่อให้เดินหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“ในต่างประเทศนั้น เช่น สหรัฐอเมริกา ก็มีการเริ่มต้นสิ่งนี้ มาจากการออกกฎ หมายพ.ร.บ.คู่ชีวิต และพัฒนามาเป็นการจดทะเบียนสมรส ที่น่าสนใจคือมีการต่อสู้มาอย่างยาวนานและเข้มข้นอย่างมาก”

เมื่อมีคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษที่ยกร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิตอีกครั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น จุดเด่นที่น่าสนใจอยู่ที่ ในส่วนของนิยาม คือคำว่า คู่ชีวิต ซึ่งมีความจำกัดความให้เด่นชัด นั่นคือ ต้องเป็นเพศเดียวกัน เพราะหากไปจำกัดความแบบร่างกฎหมายฉบับก่อนๆ ที่ระบุให้ถือตามเพศที่กำหนด และที่สำคัญบุคคลที่ผ่าตัดแบ่งเพศแล้ว จะใช้สิทธิในส่วนนี้ไม่ได้ตามเพศสภาพที่แปลงไปแล้ว

 

 

และในส่วนมาตราที่พูดถึงกระทรวงที่เข้ามารักษาการตามร่างพ.ร.บ.นี้ ที่น่าสนใจคือกระทรวงการต่างประเทศ เพราะในปัจจุบันมีชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศมากขึ้น และมีสัดส่วนของเพศหลากหลายมากขึ้น ซึ่งไม่ได้รับความสะดวกในแง่กฎหมาย และมีการสะท้อนข้อมูลไปยังกระทรวงการต่างประเทศจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของการให้กระทรวงนี้เข้ามามีส่วนร่วมตามกฎหมาย

อีกทั้ง ร่างนี้ได้เพิ่มเงื่อนไขเรื่องสัญชาติเข้ามา ซึ่งเป็นสิ่งที่กฎหมายครอบครัวของไทยไม่เคยมีมาก่อน และคู่ชีวิตต้องมีสัญชาติไทย หมายความว่าคนใดคนหนึ่งต้องถือสัญชาติไทย จึงจะสามารถจดทะเบียนได้

ขณะเดียวกัน เกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้อธิบายในฐานะผู้เสนอร่างฯ ว่า การแต่งงานของชายหญิงเป็นเรื่องที่สากลยอมรับ ทุกประเทศมีการจดทะเบียนสมรสชายหญิง แต่การจดทะเบียนคู่ชีวิตนั้นมีเพียงบางประเทศเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการบัญญัติเรื่องสัญชาติ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้กับคนไทยโดยเฉพาะ แต่ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิตฉบับนี้ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด ความคิดเห็นต่างๆ ยังต้องกลับไปที่กฤษฎีกาชุดพิเศษอีกครั้ง

สิ่งที่น่าสนใจอีกข้อของร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิตฉบับนี้คือมาตรา 19 วรรค 2 ที่ระบุว่าผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของคู่ชีวิตฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเป็นบุตรบุญธรรมของคู่ชีวิตอีกฝ่ายขณะเดียวกันไม่ได้ ซึ่งการใช้คำว่า “บุตรบุญธรรม” ในส่วนนี้ไปขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/26 ระบุว่า ผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมจะมีผู้ดูแลได้คนเดียว ยกเว้นผู้ดูแลมีคู่สมรส และคู่สมรสประสงค์ที่จะจดทะเบียนรับผู้เยาว์ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของอีกฝ่ายเป็นบุตรบุญธรรมของตัวเอง นั่นแปลว่าคู่สมรสต้องการเป็นครอบครัว

ซึ่งนำไปสู่คำถามที่ว่า ทำไมคู่ชีวิตไม่สามารถเป็นครอบครัวได้ และเป็นที่น่าสังเกตว่าในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่มีการกล่าวถึงส่วนที่เป็นเรื่องบุตรเลย แม้จะมีการกล่าวถึงบุตรที่ติดมากับคู่ชีวิต เรื่องบุตรบุญธรรมที่มีข้อสังเกตว่ามีข้อห้ามที่แปลกหรือแม้แต่เรื่องการรับบุตรบุญธรรม ซึ่งก็เกิดเป็นข้อสงสัยว่าหรือในกรณีนี้จะต้องยกให้เป็นข้อกฎหมายอื่นไป