UN เตือนโลกร้อนอยู่ในระดับ “มหันตภัย” ต่อมนุษย์ แก้ปัญหาช้าไปอาจตายนับแสนคนอีก 10 ปีข้างหน้า ชี้ Climate change คือเรื่องที่แต่ละชาติจะ “เพิกเฉย” ไม่ได้
สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง รายงานข่าวชิ้นสำคัญที่มีผลกระทบกต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก หรือสถานการณ์ climate change หลังจากองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ออกมากระตุ้นสังคมโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจังอีกครั้ง
มิเชล แบชเลต ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชน ยูเอ็น ขึ้นกล่าวปาฐกถาในการประชุมสภาสิทธิมนุษยชน โดยมีตอนหนึ่งที่ระบุถึงว่า ยูเอ็นยังต้องเข้ามาจัดการกับปัญหาใหม่ๆ ทีเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิของมนุษย์ทุกคนในโลก
นั่นเพราะในปัจจุบัน อุณหภูมิอากาศอยู่ในระดับ “มหันตภัย” ต่อมนุษย์ อีกด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องที่จับต้องไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นจริงและนำไปสู่พายุที่รุนแรงมากขึ้น คลื่นทะเลสูงขึ้นพัดกระหน่ำชายฝั่ง ไฟป่าที่ลุกโชนในหลายพื้นที่ของโลก น้ำแข็งละลาย เป็นต้น
“เรากำลังจุดไฟเผาอนาคตของโลก และผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงจะนำไปสู่การอดอยากของผู้คน” แบชเลต นิยามถึงปัญหา Climate change
ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชน ยูเอ็น ยกข้อมูการวิเคราะห์จาก องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ที่ระบุว่าในปีค.ศ. 2030-2050 ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเป็นส่วนสำคัญในการทำให้มนุษย์ต้องตายสูงถึง 2.5 แสนคน ซึ่งมาจากการขาดสารอาหาร โรคมาลาเรีย โรคท้องร่วง รวมไปถึงความเครียดที่จะกระทบต่อจิตใจจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
นอกเหนือไปจากผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์แล้ว Climate change ยังจะมีผลต่อการพัฒนาและทำให้ประโยชน์ต่างๆ ของแต่ละประเทศต้องชะงัก โดยเฉพาะประเด็นที่ค่อนข้างกังวลคือความขัดแย้งระหว่างกัน การพลัดถิ่น ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในสังคม รวมไปถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“โลกจะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน และมันไม่ใช่สถานการณ์ที่ประเทศใดๆ ก็ตามในโลกจะเพิกเฉยได้ เพราะทุกคนจะได้รับผลกระทบทั้งหมด” แบชเลต ย้ำ
กระนั้นก็ตาม แบชเลต ยังระบุว่า โลกยังพอมีเวลาจะจัดการแก้ไขปัญหานี้ แต่หากชักช้าประตูแห่งโอกาสก็จะค่อยๆ ปิดตัวเองลง ดังนั้น การแอคชั่นทันทีต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจึงเป็นเรื่องที่เร่งด่วน และต้องทำทันที
“โลกอยู่ในยุคแห่งนวัตกรรม เราจะต้องใช้ความรอบคอบต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรหมุนเวียนให้ดีที่สุด แต่ละชาติจะต้องเริ่มแผนเพื่อปกป้องสังคม เพื่อเป็นทางออกต่อสิ่งแวดล้อม” ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชน ยูเอ็น กล่าว
