อัดงบพันล้าน ดัน “ม.มหิดล” ติดท็อป 100 “มหา’ลัยโลก”

อัดงบพันล้าน ดัน “ม.มหิดล” ติดท็อป 100 “มหา’ลัยโลก”


“สุวิทย์” พร้อมทุ่มงบ 1,000 ล้านดัน ม.มหิดล ติดอันดับท็อป 100 มหาวิทยาลัยโลก หวังเป็นผู้นำด้านความเป็นสากล นวัตกรรม ส่งเสริมงานวิจัย ตอบรับการขับเคลื่อนประเทศ

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยในการมอบนโยบายและบรรยายพิเศษ เรื่อง “บทบาทของมหาวิทยาลัยต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ” ในโอกาสไปตรวจเยี่ยมมหาวิทยาลัยมหิดล ณ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ว่า จุดแข็งของมหาวิทยาลัยมหิดลที่อยากให้ขับเคลื่อน ประเด็นที่ 1 คือ

เรื่อง Internationalization หรือ ความเป็นสากล และ Innovation ซึ่งสามารถนำมาบูรณาการและประมวลเพื่อตอบโจทย์รัฐบาลในเรื่องของเป้าหมายที่เรียกว่า Re-inventing Healthcare System หรือการปฏิรูปและปรับปรุงระบบสุขภาพของทั้งประเทศ การเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้เกิดพึ่งพาตัวเองให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ในประเทศได้มากขึ้น ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ

ประเด็นที่ 2 เป็นเรื่องการสร้างความสามารถในการแข่งขัน หรือ Competitiveness ผ่านเรื่อง BCG Model ซึ่งก็คือ เศรษฐกิจใน 3 มิติ ประกอบด้วย
มิติแรก คือ Bioeconomy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ

มิติที่สอง คือ Circular Economy หรือเศรษฐกิจที่หมุนเวียนต่างๆ

มิติที่สาม คือ Green Economy หรือเศรษฐกิจฐานรากที่มุ่งเน้นการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

ซึ่งทางกระทรวงการอุดมศึกษาฯ จะจัดสรรงบประมาณเพื่อเข้ามาช่วยผลักดันในส่วนของทิศทางของเป้าหมายดังกล่าว

นอกจากนี้ ในอีกมิติหนึ่งคือ จะต้องแข่งขันกับนานาชาติ ทางรัฐบาลมองว่ามหาวิทยาลัยมหิดลน่าจะเป็น 1 ใน 2 มหาวิทยาลัย ซึ่งได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการที่จะเป็นมหาวิทยาลัยต้นแบบของประเทศที่ขึ้นไปอยู่ในอันดับ 1 ใน 100 มหาวิทยาลัยโลก โดยได้วางงบประมาณไว้ที่ 1,000 ล้านบาท และจะเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยมหิดลได้เสนอ concept ต่างๆ เข้ามาหารือเพื่อขับเคลื่อนต่อไป

ทั้งนี้ อว. มีนโยบายชัดเจนที่จะผลักดันให้มหาวิทยาลัยมหิดล ถูกจัดอันดับเป็น 1 ใน 100 อับดับแรกของโลก ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อดึงคนเก่งที่มุ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกมาเรียนในเมืองไทยและจะเป็นแรงกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยอื่นเกิดการตื่นตัว และมีความเป็นไปได้ที่ส่งผลให้ประเทศมีพลังในด้านการวิจัย พัฒนาและการลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง

สำหรับการตอบโจทย์ประเทศมหาวิทยาลัยมหิดลต้องมองว่าระบบการดูแลสุขภาพของประเทศในอนาคตควรเป็นอย่างไร และเมื่อไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยมหิดลจะใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และศักยภาพมหาวิทยาลัยอย่างไรให้ตอบโจทย์ประเทศเพื่อการยกระดับสุขภาพคุณภาพชีวิตคนไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวมของความเป็นมนุษย์ในระดับผู้นำของโลก

ด้านระบบการดูแลสุขภาพ (Healthcare system) ท่ามกลางกระแสการล่มสลาย และพลิกผันของเทคโนโลยี (Disruption Technology) ซึ่งมหิดลทำได้อยู่แล้วเพราะมหิดลอยู่ในระบบของการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคต (Frontier Research) ซึ่งระบบงบประมาณแบบใหม่และการแก้ไขข้อขัดข้องด้านกฏระเบียบจะทำให้มหิดลมีพลังเพียงพอที่จะไปสู่เป้าหมายที่กำหนดให้ในวันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทาย

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

บิ๊กตู่ งัดม.44 แก้ กม.ปปช. ‘สภามหาลัยฯ’ ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน