โดย… กองบรรณาธิการ ThaiQuote
เป็นเรื่องที่ชักจะวุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ กับการ “ต่อรอง” เอาเก้าอี้เสนาบดีหรือรัฐมนตรีภายในพรรค “พลังประชารัฐ” เพราะมันดูเหมือนจะกลายเป็น “ศึกภายใน” ที่เริ่มจะหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มจากทีมทางภาคอีสานที่นำมาโดย “เอกราช ช่างเหลา” ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อีสาน ยื่นใบเสร็จด้วยตัวเลข 2 ล้านเสียงที่อ้างว่ากลุ่มของตัวเองทำคะแนนให้กับพรรคพลังประชารัฐ จึงส่งผลให้พรรคได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เข้ามาอีก 12 คน ก็ต้องการเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นการแลกเปลี่ยนด้วย
ยังไม่ทันจะได้เคลียร์อะไรให้ลงตัว กลุ่มส.ส.ด้านขวาน หรือส.ส.ภาคใต้ของพลังประชารัฐ ที่สู้อุตส่าห์ยึดเอาเก้าอี้ส.ส.จากเจ้าของสัมปทานเดิมอย่างพรรคประชาธิปัตย์มาได้ถึง 13 ตัว ก็ออกมาร้องว่า ทางกลุ่มก็ต้องได้เก้าอี้รัฐมนตรีเป็นข้อแลกเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน และดูเหมือนพรรคพลังประชารัฐจะไม่เห็นคุณค่าของส.ส.กลุ่มด้านขวานอีกด้วย เพราะที่ผ่านมาไม่มีการพูดถึงผลงานนี้เลย และถึงกับขู่ว่า หากไม่เห็นหัวกันแบบนี้ พลังประชารัฐในพื้นที่ภาคใต้จะสูญพันธุ์อย่างแน่นอน ยังไม่นับรวมกับอาการ “น้อยใจ” ของดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ที่ออกมาบอกว่า นโยบายเดียวของพรรคคือรักษาป่าของประเทศเอาไว้ และประกาศเข้าร่วมรัฐบาลเพราะต้องการดันเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ทำงาน เพราะพลังประชารัฐยกให้พรรคอื่นแทน
ผลที่ว่ามันไม่อาจทำให้สังคมมองเป็นอื่นใดไปได้นอกจากว่า พลังประชารัฐ กำลังเผชิญกับศึกภายในอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะการข่มขู่ด้วยการยกทัพหนีออกจากอ้อมอกพรรค ก็ย่อมทำให้เพิ่มความเสี่ยงในสถานการณ์ความมั่นคงของรัฐบาลที่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำในอนาคตเข้าทันที และมันจะกลายเป็นช่องโหว่เบ้อเริ่มที่พรรคฝั่งตรงข้ามจะใช้เป็นจุดอ่อนเข้าทิ่มแทง
และอาจจะเป็นอีกหนึ่งข้อผิดพลาดที่มีสิทธิ์จะสร้างแผลใหญ่ให้กับพรรคพลังประชารัฐในชั่วยามนี้ ที่ก่อนหน้าก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างเริ่มจะลงตัว เพราะการออกเดินทางส่งเทียบเชิญบรรดาพรรคใหญ่ของประเทศ ทั้งภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติพัฒนา ชาติไทยพัฒนา เพื่อให้มาร่วมก๊วนกันจัดตั้งรัฐบาล และยังมีอีก 11 พรรคเล็ก ที่พร้อมจะเทใจร่วมหัวจมท้ายด้วย แต่ท้ายสุดก็ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐอาจจะหลงลืมลูกบ้านของตัวเองที่เริ่มจะงอแงอยากได้ตำแหน่งบ้างเหมือนกัน
เพราะผลงานที่นำมากล่าวอ้างก็น่าจะเป็นการฟังขึ้น และสามารถเคลมได้ว่าเป็นผลงานที่ช่วยให้พรรคได้เสียงมากพอควรในการมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น เมื่อทำงานดีผลตอบแทนก็ต้องดีตาม อันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของวงการการเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม การออกมาป่าวประกาศตีอกชกตัวเพื่อขอตำแหน่งกับทางผู้ใหญ่ของพรรคครั้งนี้ มันย่อมมีผลเสียตามมาด้วยเช่นกัน เพราะล่าสุดก็ทำให้ขั้วการเมืองที่อยู่ตรงข้ามเปิดแผลให้สังคมเห็นพร้อมกับป้อนข้อมูลว่านี่คือการแย่งชิงส่วนแบ่งผลประโยชน์ทางการเมือง และถูกอ้างถึงขนาดที่ว่าไม่ได้ต้องการทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ภาพที่ดูเหมือนการขัดแย้งกันเองในพรรคพลังประชารัฐจึงทำให้เสียภาพลักษณ์ไปมากพอสมควร ยิ่งหากปล่อยไว้และไม่มีการแก้ไขหรือเคลียร์ปัญหาใดๆ ตามมาให้ชัดเจนและกระจ่าง ผลเสียก็จะยิ่งพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ และมันจะกระทบไปถึงภาพลักษณ์ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่รู้กันทั้งบางว่ามาในนามของ “พลังประชารัฐ” และมันจะเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสตาร์ทบทบาทให้ในรัฐบาลชุดใหม่กับการบริหารประเทศเลย
ถือเป็นอีกโจทย์สำคัญที่ก่อนจะได้ทำงาน พลังประชารัฐ ก็ต้องเก็บกวาดบ้านของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเสียแล้ว และเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องทำจริงๆ เพราะหากปล่อยไว้ รับรองจะมีคลื่นใต้น้ำสำหรับการบริหารประเทศในอนาคตแน่ๆ และไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแม้แต่น้อย