คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยความสำเร็จก้าวแรกของงานวิจัยการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ด้วยเซลล์นักฆ่า ผู้ป่วยรายแรกเข้ารักษาไม่พบอาการของโรคกลับมาเป็นซ้ำ
อ.นพ.กรมิษฐ์ ศุภพิพัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยเซลล์บำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีความเสี่ยงสูง สามารถรักษาได้ด้วยเซลล์นักฆ่า หรือ Natural Killer Cell ซึ่งก็คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่ประมาณ 5-10% ของเซลล์เม็ดเลือดขาวทั้งหมด ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มีหน้าที่หลัก คือ ลาดตระเวนและตรวจหาเซลล์แปลกปลอม ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือเซลล์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง จนอาจก่อให้เกิดอันตรายภายในร่างกาย และยังสามารถทำลายเซลล์แปลกปลอมและเซลล์ที่ผิดปกติได้
ผลดังกล่าว จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความสนใจและพยายามศึกษาวิจัยในการนำเซลล์นักฆ่ามาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งก็ค้นพบว่าสามารถกระตุ้นและเพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่าภายนอกร่างกายได้ และมีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในมะเร็งหลายๆ ชนิด ทั้งมะเร็งก้อนและมะเร็งทางโลหิตวิทยา ทั้งในการศึกษาระดับหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง
“โดยปกติเซลล์นักฆ่ามีจำนวนน้อยมากในเลือด การจะนำมาใช้รักษาผู้ป่วยจะต้องนำออกมากระตุ้น และเพิ่มจำนวนก่อน โดยมีขั้นตอนก็คือ ทำการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดจากผู้ป่วย หรือผู้บริจาค แล้วก็เอามาปั่นแยกเซลล์เม็ดเลือดขาวออกจากเลือด คัดแยกเซลล์นักฆ่า ออกจากเม็ดเลือดขาว” อ.นพ.กรมิษฐ์ กล่าว
หัวหน้ากลุ่มวิจัยเซลล์บำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวอีกว่า จากนั้นทำการกระตุ้นและเพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่า ด้วยอาหารเลี้ยงเซลล์ชนิดพิเศษและโปรตีนไซโตคายเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ แล้วค่อยตรวจสอบคุณภาพของเซลล์นักฆ่าที่ได้ในเชิงปริมาณคุณภาพว่า ปลอดจากการปนเปื้อนและปลอดจากเชื้อโรค จึงนำเซลล์นักฆ่าประสิทธิภาพสูงที่ได้ กลับไปให้แก่ผู้ป่วยได้ โดยกระบวนการกระตุ้นและเพิ่มจำนวนทั้งหมดนี้ จะทำอยู่ในภายในห้องปฏิบัติการสะอาดปลอดเชื้อพิเศษในแบบที่คล้ายกับการผลิตยา จึงนำมาสู่การเตรียมดำเนินก่อสร้างศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลจุฬาฯ
ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ได้ให้คำแนะนำในด้านการปรับปรุงห้องปฏิบัติการสะอาดพิเศษสำหรับการผลิตเซลล์ เพื่อใช้กับผู้ป่วยรวมถึงกระบวนการควบคุมการผลิตเซลล์เพื่อใช้ในโรงพยาบาล ซึ่งเบื้องต้นทาง อย.ได้อนุมัติแบบแปลนสำหรับการปรับปรุงห้องปฏิบัติการ เรียบร้อยแล้ว ก็กำลังดำเนินการปรับปรุงห้องให้ได้มาตรฐานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนการรักษากับอย.ต่อไป” อ.นพ.กรมิษฐ์ กล่าว
หัวหน้ากลุ่มวิจัยเซลล์บำบัดมะเร็ง กล่าวถึงประสิทธิภาพ ของเซลล์นักฆ่าอีกว่า มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรค และป้องกันโรคกลับเป็นซ้ำในมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดมัยอีลอยด์ โดยเฉพาะการใช้เซลล์นักฆ่าจากพ่อแม่พี่น้อง หรือลูกที่มีสารพันธุกรรมตรงกันเพียงครึ่งเดียว
ทางโครงการได้ร่วมวิจัยและพัฒนาการรักษาเซลล์บำบัดมะเร็งด้วยเซลล์นักฆ่า ตั้งแต่การทดสอบประสิทธิภาพในหลอดทดลอง ในสัตว์ทดลอง และปี 2561 นำร่องกับผู้ป่วยจริง 5 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยชาวไทย เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดมัยอีลอยด์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยผู้ป่วยทั้ง 5 ราย ได้รับการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคทั้งหมด ซึ่งส่วนนี้ นักวิจัยประสบความสำเร็จ ในการกระตุ้นและเพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาคให้มีปริมาณและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน
นอกจากนี้ การใช้เซลล์จริงในผู้ป่วย สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์นักฆ่าขึ้นมาได้ในระดับที่เพียงพอสำหรับการใช้ในผู้ป่วยแล้ว เซลล์นักฆ่าที่ได้ไม่มีเซลล์อื่นๆ ปนเปื้อนเกินมาตรฐาน และในปี 2562 นี้ทางโครงการก็มีความตั้งใจจะเริ่มดำเนินโครงการต่อเนื่อง เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่มีความเสี่ยงสูงต่อไป นำไปสู่การใช้รักษาจริงในอนาคต
ด้าน ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ บุญวรเศรษฐ์ หัวหน้าสาขาวิชาโลหิตวิทยาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเสริมว่า การใช้เซลล์นักฆ่าจากตัวผู้ป่วยเอง มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคค่อนข้างต่ำ ตรงข้ามกับการใช้เซลล์นักฆ่าจากผู้บริจาค ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรค โดยมีโอกาสควบคุมโรคได้ถึง 40-80% และยังช่วยลดโอกาสการเป็นซ้ำในผู้ป่วยกลุ่มนี้
ยกตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์ รายแรกที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 52 ปี ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในปี 2560 ผู้ป่วยรายนี้ได้รับยาเคมีบำบัดถึง 3 สูตรยาที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมโรคได้ดีเท่าที่ควร คือ ในไขกระดูกของผู้ป่วยยังมีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่ และได้รับการวินิจฉัยยืนยันว่ามีโรคมะเร็งกลับเป็นซ้ำ
ทีมแพทย์ผู้รักษาก็เลยประเมินจากลักษณะการกลับเป็นซ้ำ แล้วผู้ป่วยมีโอกาสการตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานต่ำมาก จึงเสนอให้ผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการนำร่อง โดยใช้เซลล์นักฆ่าจากพี่สาว ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวรายนี้ได้รับเซลล์นักฆ่าและหยุดรักษามาเป็นเวลา 1 ปี โดยที่ไม่มีอาการของโรคกลับเป็นซ้ำเลย
แต่ก็ยังได้รับผลข้างเคียง มีอาการเซลล์ต่อต้านแบบเรื้อรังในระดับที่ไม่รุนแรง ในบริเวณเยื่อบุช่องปาก เป็นแผล ซึ่งสามารถควบคุมอาการได้ด้วยการใช้ยากดภูมิชนิดบ้วนปาก ส่วนอีก 4 รายที่อยู่ในโครงการ ทั้งหมดมีระยะปลอดจากโรค หลังจากหยุดรักษาไปแล้วตั้งแต่ 2 เดือนถึง 7 เดือน ซึ่งจากการประเมินความปลอดภัยเบื้องต้น เห็นได้ว่าการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่า ในผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความปลอดภัย แต่ต้องอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไปอย่างน้อยก็ 1-2 ปีเป็นต้นไป
“อีกไม่นานไทยเราก็จะมีพระราชบัญญัติเซลล์บำบัดเพื่อมาควบคุมมาตรฐานการรักษาด้วยเซลล์บำบัด และกำกับมาตรฐานห้องปฏิบัติการสำหรับผลิตเซลล์เพื่อมาใช้ในผู้ป่วย รวมถึงข้อบ่งชี้ในการใช้เซลล์บำบัดเฉพาะในโรค ที่มีการรับรองประสิทธิภาพของการรักษา
แต่ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมประชาชนก็ควรรับทราบข้อพึงระวังเอาไว้ด้วยว่า การรักษาด้วยเซลล์บำบัด อาจเกิดผลข้างเคียงจากเซลล์ที่ใส่กลับเข้าไปได้ โดยเฉพาะเซลล์ที่มีการปนเปื้อนจากการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากการแพ้อย่างรุนแรงหรือการติดเชื้ออย่างรุนแรง
โดยในปัจจุบันยังมีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงในการใช้เซลล์นักฆ่าในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ใช้ในการป้องกันการเกิดมะเร็ง ช่วยชะลอวัย ใช้ในการรักษาโรคเอดส์ หรือแม้แต่การใช้ในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งการอวดอ้างดังกล่าวไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ รองรับ การรักษาด้วยเซลล์นักฆ่านั้น ยังไม่ใช่การรักษามาตรฐานของโรคมะเร็งชนิดใดๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้นผู้ป่วยควรได้รับการรักษาตามมาตรฐานของโรคนั้นๆ ก่อนที่จะพิจารณาการรักษาด้วยเซลล์นักฆ่าผู้ป่วยควรที่จะได้รับการรักษาภายใต้โครงการ การศึกษาหรือการวิจัยทางคลินิกในโรงเรียนแพทย์เท่านั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วยเอง”ผศ.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
สธ.ย้ำผู้ผลิต ร้านค้า ผู้บริโภค ใส่ใจคุณภาพน้ำแข็ง