บอกตรงๆ ว่า “หล่อ” พอสมควร และไม่คุ้นชินอย่างมากกับ “ลุคส์” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่พยายามอย่างแรงกล้าที่จะลบภาพเดิมที่คุ้นชินกันในสังคมมากว่า 5 ปี ทั้งความแข็งกระด้าง ความเขี้ยวกราด ความดุดัน บนฐานะผู้นำประเทศผ่านการยึดอำนาจ เพื่อก้าวสู่อาชีพนักการเมืองอย่างเต็มตัว
บอกตรงๆ ว่า “หล่อ” พอสมควร และไม่คุ้นชินอย่างมากกับ “ลุคส์” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่พยายามอย่างแรงกล้าที่จะลบภาพเดิมที่คุ้นชินกันในสังคมมากว่า 5 ปี ทั้งความแข็งกระด้าง ความเขี้ยวกราด ความดุดัน บนฐานะผู้นำประเทศผ่านการยึดอำนาจ เพื่อก้าวสู่อาชีพนักการเมืองอย่างเต็มตัว
ยิ้มละมุน สวมสูท มือเท้าหน้าขา โน้มตัวมาข้างหน้า หรือภาพสองมือประสานใต้คาง นัยย์ตาหวานเยิ้มมองมายังกล้อง 2 ภาพที่ปรากฎในโลกออนไลน์ ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงาน ปรับลุคส์ให้เจ้าตัวดูหล่อเหลาขึ้นมาไม่น้อย
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของเพจ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Pratut Chan o-cha” ก็กระหน่ำภาพผู้นำประเทศไทย ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่า การขยับขับเคลื่อนในครั้งนี้ ย่อมมีนัยยะทางการเมืองแอบแฝงเอาไว้อยู่ด้วย
เพราะอีกภาคหนึ่งของบทบาทชีวิตพล.อ.ประยุทธ์ นอกจากทำงานในตำแหน่งนายกฯ แล้ว ก็ยังเป็นหนึ่งในแคนดิเดตบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ผู้ที่ถูกเลือกแล้วว่าเหมาะสมจะถูกเสนอให้เป็นนายกฯ คนต่อไปหลังผ่านพ้นการเลือกตั้ง หากว่าวันดีเดย์ที่จะนำประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยอีกครั้งนั้น พรรคพลังประชารัฐสามารถดึงใจคนไทยให้เทคะแนนเสียงให้ และมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล
แน่นอนว่าการที่พรรคพลังประชารัฐ ตัดสินใจชูพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ พร้อมกับพ่วงรูปถ่ายแนบติดไปกับภาพของผู้สมัครส.ส.ทั่่วแคว้นแดนไทย เพื่อโปรโมทและดึงใจประชาชนให้เลือกกาคะแนนให้กับพรรค การปรับลุคภาพลักษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะการจะดึงใจคนให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ การฝังภาพจำที่เกรี้ยวกราด ดุด่า ปาสิ่งของใส่นักข่าว ภาพเหล่านั้นมันจะต้องถูกลบไปจากสารบบความจำของคนไทย
คนทั้งประเทศจึงได้เห็น “บิ๊กตู่” ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ที่ไม่เคยพบเคยเจอ หรือไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก และทุกภาพคือการแสดงออกว่าให้สังคมไทยเห็นว่า คนอย่างพล.อ.ประยุทธ์ แม้จะเข้ามาในฐานะที่ไม่สวยงามด้วยการยึดอำนาจประชาธิปไตย และยกตัวตัวเองขึ้นมาบริหารประเทศ ก็สามารถปรับตัวเองมาอยู่ในจุดที่เข้าถึงได้ ด้วยการฉีกยิ้มนำพาเพื่อขอคะแนนคนไทย
ภาพปรากฎที่เราได้เห็น ทั้งการยืนถ่ายรูปเซลฟี่กับหมู่นักศึกษา การหยอกล้อเล่นกับช้าง หรือการพบปะแขกบ้านแขกเมืองด้วยรอยยิ้มและใบหน้ายิ้มแย้มเจือด้วยเสียงหัวเราะ ทุกภาพที่ฉายออกมาจึงถี่มากขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของการชี้ชะตาประเทศในการเดินกลับเข้าสู่ประชาธิปไตย (อีกครั้ง)
หรือแม้แต่การลดโทนการให้สัมภาษณ์ที่ดูดุเดือดน้อยลง หรือแทบจะไม่มีอารมณ์ฉุนเฉียวใดๆ แถมยังส่งเสียงแซวนักข่าวต่างๆ ว่ามองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น และมันทำให้มองเห็นความสวยงามมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
คำพูดแบบนี้แทบจะไม่มีทางได้ยินเลยกว่าตลอด 5 ปีบนเก้าอี้ผู้นำ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบได้แน่ชัดว่า การปรับลุค ปรับโทน ให้ดูซอฟท์ลง เบาลง ยิ้มแย้มให้มากขึ้นครั้งนี้ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จะถือได้ว่าเป็น “ตัวตน” ที่แท้จริงของเจ้าตัวหรือไม่ หรืออารมณ์รุนแรงและเกรี้ยดกราดขณะทำงานตลอดทั้ง 5 ปี คือความจริงที่อยู่คู่มาตลอดทั้งชีวิต
แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะเป็นความจริง การปรับลุคครั้งนี้ แน่นอนว่ามันทำให้พล.อ.ประยุทธ์ หล่อขึ้นเป็นกอง และน่าจะเรียกคะแนนเสียงจากแม่ยกกองเชียร์ได้ ซึ่งผลประโยชน์จากพล.อ.ประยุทธ์ที่เพิ่มดีกรีความหล่อสุขุมเข้ามา ก็จะเป็นประโยชน์แน่นอนกับพลังประชารัฐ ที่ต้องต่อกรบนสนามการเมือง
ก็แน่ล่ะ ใครจะไปอยากเลือกนักการเมืองที่มีแต่ความเกรี้ยวกราด แม้จะทำงานดี ซื่อสัตย์ ก็ตาม เพราะนิสัยคนไทยชื่นชมมากกว่ากับคนที่อ่อนน้อม เข้าถึงง่าย และเป็นมิตร ผลพวงที่ว่าจึงนำไปสู่การปรับชายชาตินักรบ ที่เลือกก้าวเข้าสู่ถนนการเมือง ให้เหมาะสมกับการที่จะเป็น “นักการเมือง” ของเมืองไทย
โดย…. กองบรรณาธิการ ThaiQuote