แม้ฐานะดำรงในปัจจุบัน คือ “เผด็จการ” แต่เมื่อสิ่งที่ต้องการคือการนำพาประชาธิปไตยกลับคืนมา คนอย่างบิ๊กตู่จึงต้องให้เกียรติประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ และเจ้าของอำนาจตัวจริง การขึ้นเวทีบอกกล่าวจึงเปรียบเสมือน “เกียรติ” ที่ประชาชนต้องสมควรจะได้รับ
กองบรรณาธิการ ThaiQuote
แม้ล่าสุดจะมีการเปิด “ไฟเขียว” ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตะลุยขึ้นเวทีหาเสียงปราศรัยเพื่อช่วยพลังประชารัฐได้ แต่สำหรับเวทีดีเบต หากให้ว่ากันตามความเป็นจริง ก็ยากมากที่จะเห็น “บิ๊กตู่” ในฐานะแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีคนต่อไปของเมืองไทย ขึ้นเวทีประกบกับคู่แข่งพรรคอื่นเพื่อโชว์วิชั่น นั่นเพราะการหงายไพ่ออกมาของพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า “ไม่จำเป็น” เพราะเวทีดีเบตคือเวทีแห่งการโจมตีกันเท่านั้น ยังไม่ใช่เวทีที่จะแสดงนโยบายให้ประชาชนได้เห็นกัน
หลายเวทีที่ผ่านมาเรายังมองไม่เห็นเวทีแสดงวิสัยทัศน์ใด ที่ทำให้นักการเมืองของพรรคต่างๆ ได้โชว์นโยบายของพรรค เกี่ยวกับปากท้องของประชาชนแบบชัดเจน จับต้องได้ ที่เห็นในทุกเวทีคือการสร้างวาทกรรมทางการเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น นี่จึงอาจเป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องการดีเบตบนเวทีร่วมกับนักการเมือง
หากยังจำกันได้ กับประโยคที่พล.อ.ประยุทธ์ บอกเอาไว้ว่า “ผมยังไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปร่วมวงดีเบต เพราะเวทีนี้มีแต่โจมตีกัน สาระไม่ค่อยมี อีกทั้งยังเถียงกันตอนเริ่มดีเบต แต่มาแสดงนโยบายกันตอนปลายก็ไม่มีใครเขาฟังแล้ว เพราะคนไปอินกับการโจมตีกันมากกว่า ที่พูดนี่ไม่ได้กลัวนะ แต่ผมคงไม่ไปหรอก ไม่ว่าใครจะว่าไงผมก็ไม่โกรธ และไม่ได้กลัว สิ่งสำคัญคือทุกวันนี้ผมทำงานอยู่ มันเสียเวลาผมที่ต้องมาประดิษฐ์ถ้อยคำให้สวยหรู ปวดหัวเปล่าๆ แค่ทำงานในระบบก็หนักก็แย่พอแล้ว”
เช่นเดียวกัน เมื่อมองว่า ใน 5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้วางนโยบายอะไรไว้บ้าง ซึ่งก็มีคำตอบที่ชัดเจนจาก พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “ผมไม่อยากให้เวลาทั้ง 5 ปีที่ผ่านมามันเสียเปล่า เพราะมีการโจมตีกันไปมา มันไม่ใช่ ผมก็เลยจุดนั้นไปแล้วที่จะมาบอกว่าสิ่งที่ผมทำไป 5 ปีก่อนมันผิดหรือมันถูก ผมถามหน่อยว่าเราจะย้อนกลับไปที่เก่ากันเหรอ ไปหาคำตอบกันเมื่อ 5 ปีก่อนเหรอ ผมพ้นเวลานั้นมาแล้ว แต่อย่าลืมว่าที่ผมเข้ามาเมื่อ 5 ปีก่อนเพราะประเทศมีปัญหา เมื่อมาแล้วผมก็ต้องมีอำนาจเพื่อให้ทำงานได้ เพื่อแก้ปัญหาให้ได้ แต่ไม่เข้าใจว่าจะต้องกลับไปจุดนั้นอีกทำไม ลืมกันหมดแล้วเหรอก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นยังไงกัน ลืมกันหรือยัง”
แน่นอนว่าแม้วลีนี้จะผ่านพ้นไปไม่นาน แต่ล่าสุดเราก็มีโอกาสได้เห็นบิ๊กตู่ขึ้นเวทีโชว์ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว เพราะแว่วว่าล่าสุดในวันที่ 10 มีนาคมนี้ “โคราช” จะเป็นที่แรกที่พล.อ.ประยุทธ์จะขึ้นเวทีในฐานะ “นักการเมือง” ซึ่งเวทีพลังประชารัฐในเมืองย่าโมแน่นอนว่าจะต้องถูกแสงสปอร์ตไลท์ฉายส่องมาเต็มพื้นที่
ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ จะขยับไปยังเชียงรายในวันที่ 16 มีนาคม และล่องไปใต้สุดที่นราธิวาส วันที่ 17 มีนาคม ก่อนมาปิดเวทีที่สวนลุมพินี กรุงเทพมหานครในวันที่ 22 มีนาคม ก่อนเวลาเปิดหีบเลือกตั้งเพียงแค่ 2 วัน
เส้นทางบนเวทีของบิ๊กตู่จึงมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะอีกหนึ่ง “ตัวแทน” ของพลังประชารัฐ แต่อีกนัยหนึ่งก็น่าสนใจไม่น้อยว่า คนอย่างบิ๊กตู่ ที่เคยอยู่ใน “อำนาจ” ที่ควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จมาตลอดทั้งชีวิต ทั้งชีวิตข้าราชการทหาร ต่อเนื่องมาถึงการทำรัฐประหาร และบริหารประเทศด้วยอำนาจที่มีในมืออย่างไร้รอยต่อมาตลอด การเปิดตัวในฐานะนักการเมืองคนหนึ่งที่สังกัดพรรคการเมือง จึงหมิ่นเหม่จะโดนล่อจากการเมืองของเมืองไทยที่ดุเดือดเลือดพล่านอย่างเต็มที่
เพราะหากนำพาอารมณ์อันฉุนเฉียวที่เคยถือปฏิบัติมาจนชาชิน ทั้งการตอบคำถาม การปั้นปึง วาจาดุดันรุนแรงเหมือนกับครั้งที่มีอำนาจอยู่ในมือ แต่หากนำมาใช้ในเวลา “นอกราชการ” เพื่อขึ้นเวทีปราศรัย แน่นอนว่า กลุ่มที่ต่อต้านพล.อ.ประยุทธ์ ก็พร้อมจะเก็บข้อมูลมาเล่นงานในภายหลังทันที
กับอีกหนึ่งขอควรระวัง ต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ใช้ทรัพยากรทั้งบุคคล ทรัพย์สิน ของประเทศในฐานะผู้นำมาตลอด 5 ปีที่อยู่ในอำนาจ การเดินออกจาก “มุ้ง”ของตัวเองที่เคยมั่นใจว่าปลอดภัยมาช้านาน สู่อีกมุ้งของพลังประชารัฐ จะต้องไม่มี “ทีมส่วนตัว” อีกต่อไป แต่ต้องมีทีมใหม่เข้ามาดูแลแทน ทั้งงานรักษาความปลอดภัย การใช้รถยนต์ การเดินทาง บิ๊กตู่ไม่อาจใช้ทรัพยากรที่เคยใช้อยู่เดิมที่เป็นของรัฐได้อีกต่อไปแล้ว
ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ทั้งทีมส่วนตัวของพล.อ.ประยุทธ์ และทีมของพลังประชารัฐจะต้องระวังอย่างมาก เพราะหากผิดพลาดอาจถึงขั้นตกม้ากลางศึกเอาได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม การที่พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมเดินขึ้นเวทีพลังประชารัฐ ก็ถือเป็นของดีสำหรับประชาชนที่จะได้รับฟังความคิดเห็น วิชั่น แนวทาง ในฐานะ “นักการเมือง” ของพล.อ.ประยุทธ์ เพราะในอนาคคข้างหน้า บิ๊กตู่เองก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับให้ประชาชนตัดสินใจ ไม่ต่างอะไรกับแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอื่นๆ การปรากฎตัวต่อสาธารณะเหมือนกับคู่แข่ง จึงถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำหรับคนที่อยากจะนำพาประเทศ “ต้องทำ” อีกทั้งก็ยังเป็นการ “ให้เกียรติ” ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจตัวจริง คนที่มีสิทธิ์จะคัด “ใคร” ที่เหมาะสม มานำพาประเทศของตัวเอง