ลองแบบนี้ดูบ้างดิ … ลองถอดชุดความคิดที่เสพมาจากสื่อบิดเบือน เสพมาจากโลกโซเชียลหวังผลทางการเมือง แล้วหันมาคิดแบบ “เป็นธรรม” ให้ตรรกอธิบายกระตุ้นต่อมสร้าง “จิตสำนึก” ลบรอยความ “อคติ” ลงบ้างอาจจะเห็นภาพบางอย่างที่แตกต่างออกไป
จากปาฐกถา พิเศษ “ประเทศไทยกับเส้นทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืน” โดย “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ในงาน “UNIVERSITY EXPO” เนื่องในงานเฉลิมฉลอง ครบรอบ 45 ปี ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยสดๆ ร้อนๆ จากพารากอน มีมุมมองอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น ความโดยสรุป ในงานนี้ รองนายกฯรัฐมนตรีพูดถึงแต่อนาคต ทั้งอนาคตของการเมืองไทย อนาคตของเศรษฐกิจไทย ยกภาพมาจากอดีตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นับตั้งแต่สถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองก่อนหน้าการเข้ามาทำงานของรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงภาพเศรษฐกิจไทยที่กำลังดิ่งด่ำลงสู่เหวลึกแบบไร้ความหวัง รวมถึงความถี่ห่างเหลื่อมล้ำของชนชั้น ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรง
แน่นอนว่าในภาพนี้ การค้าการลงทุน คงแทบล้มพับจับหมอนมานอนรอวันเจ๊ง บนสภาพการเมืองที่คนไทยแตกเป็นฝักเป็นฝ่ายจ้องจะห่ำหั่นกันได้ทุกนาที
แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ในงานปาฐกถาย้อนความจากอดีตมาสู่การทำงานของรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่นี้มาดูกัน ….
ภาพของความขัดแย้ง การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่หมดลงเสียทีเดียวแต่ก็น้อยลง ภาพของเศรษฐกิจเริ่มผงกหัวและเดินหน้าได้ ตัวเลขต่างๆ กำลังทะยอยกลับคืนไปสู่จุด ที่แทบไม่รู้เลยว่า ในปัจจุบัน คือรัฐบาลที่หลายๆ คนพยายามทำให้น่ากลัว เป็นรัฐบาลที่มาด้วยวิธีไม่ปกติ
เริ่มต้นตั้งแต่การเข้ามาทำงานของ “ทีมเศรษฐกิจนี้” ความเชื่อมั่นค่อยๆ ฟื้นกลับมาให้เห็น พร้อมๆ กับการเดินหน้าเมกกะโปรเจ็กต์ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างเป็นระบบ พลิกวิธีคิดแบบเดิมๆ สู่ยุคแห่งการค้าโลก 4.0 ที่เข้าสู่ยุคเทคโนโลยีและดิจิทัล กระตุ้น สร้างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไปพร้อมๆ กับการฉุดเอสเอ็มอีให้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง รับกับเออีซี และการเติบโตของจีน และโลกการค้าแห่ง วันเบลท์วันโรด ภาพของการท่องเที่ยวที่โตวันโตคืน รวมถึง โครงการดึงดูดการลงทุน กับการเข้ามาของเม็ดเงินมหาศาลอย่าง EEC ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพลิกชะตาด้านอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ
ถัดมาว่ากันด้วยเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำ จากแนวคิดแนวทางแบบประชารัฐ ที่ “แตกต่างชัดเจน” จากอดีต เพราะรองนายกฯ เน้นย้ำว่า นี่เป็นการสร้างคนจน ให้เติบโตขึ้นมา แข็งแกร่ง และพึ่งพาตนเองได้ เพื่อเดินก้าวไปสู่อนาคต พร้อมๆ กับการฉุดภาคการเกษตรให้ตื่นตัวเรื่องการเพิ่มมูลค่าและแปรรูปสินค้า
ให้สินค้าของคนไทย ไม่ใช่สินค้าแบบเดิมๆ ที่อะไรๆ ก็เกษตรๆ ข้าว ยาง ปาล์ม ซึ่งต้องพึ่งพาราคาอ้างอิง สู่ยุคแห่งสินค้าเกษตรแปรรูปที่กำหนดราคาได้ด้วยโนฮาวน์ และ แบรนด์ดิ้ง
กับภาพของความเหลื่อมล้ำในอดีต ของ เกษตรกรที่เห็นได้ชัดและแตกต่างอย่างเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน!
ที่นี้ มาว่ากันต่อเรื่องของ “อนาคต” พอเศรษฐกิจดีเข้าที่เข้าทางก็ได้เวลาวางรากฐานที่จะเดินไปข้างหน้า (อันนี้รองนายกฯ สมคิดเน้นย้ำแทบจะทุกครั้งที่ปาฐกถา) กับเวทีล่าสุด ที่เตรียมงานสำคัญนอกเหนือจากการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ อย่าง การผลักดันโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพื่อรองรับกับโครงการสำคัญๆ ต่างๆ โดยเฉพาะในเวทีล่าสุด ที่รองนายกฯ พูดถึงการสร้างบุคลากร กับการดึงสถาบันการศึกษาเข้ามาส่วนร่วม สร้างคนให้ตรงกับงาน โดยเฉพาะกับ โครงการอย่าง EEC ที่จะมีหลากหลายชาติ ขนเม็ดเงินมากองเอาไว้ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสพลิกแนวคิด และก้าวร่วมกันไปสู่อุตสาหกรรมก้าวหน้าระดับโลก ที่จะมีความพร้อมทั้งบุคลากร และสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพ รองรับกับการลงทุนจากทุกภูมิภาคทั่วโลก
พร้อมๆ กับให้สถาบันการศึกษา เดินหน้า ช่วยสร้าง “คนคุณภาพ” เข้าสู่เวทีการเมืองของประเทศต่อจากนี้ที่จะเป็นยุคหลังการปฏิรูป!!
ที่นี้ลองถอดชุดความคิดจากการเสพสื่อบิดเบือน สื่อให้ร้ายลงชั่วคราว แล้ว ลองมาพิสูจน์กันว่า ทั้งหมดที่ ดร.สมคิดพูดมานี่ จริงมั้ย? ก็ง่ายๆ แค่หลับตาแล้วลองนึกถึงว่า “สมมุติถ้าวันนี้ประเทศไทยไม่มีดร.สมคิดไม่มีทีมเศรษฐกิจนี้” ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้จริงมั้ย? แล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?
คราวนี้แล้วลองลืมตากลับมาดูความเป็นจริงอีกที พิสูจน์โดยตรรกะ ว่าประเทศดีขึ้นมั้ย? ก็ลองวัดง่ายๆ ว่า เอาหละ สงบขึ้น จริงดิ? เศรษฐกิจดีขึ้นมั้ย? เอาว่า คนจนมีบัตรสวัสดิการรัฐ (ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน) คนจนมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น คนจนสามารถผลิตสินค้าแล้วขายได้ เกษตรกรจนๆ สามารถผลิตและขายผลผลิตของตัวเองผ่านโลกออนไลน์ได้ ทั้งคนจนและเกษตรกร สามารถรวมตัวกันเป็นเครือข่ายประชารัฐ ผลิตและจำหน่ายสินค้าเชื่อมต่อกับโลกโซเชียลได้
ประเทศมีเม็ดเงินลงทุนขนาดมหาศาลที่กำลังจะเข้ามาสร้างเงินสร้างงาน โครงการเมกกะโปรเจ็กต์ต่างๆ เดินหน้าแบบจับต้องได้ เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงถึงเกือบ 4% จากก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ที่โตแค่ 0.8%
และสุดท้ายความจริงที่สำคัญที่สุดอีกประการ “ประเทศกำลังจะมีการเมืองใหม่แบบใสสะอาดโดยคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นอนาคตที่จับต้องได้”
ลืมตามาเห็นแล้ว ตรรกะมันก็จะบอกให้ว่า เรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่มี “ดร.สมคิด” จะเกิดขึ้นได้จริงมั้ย? และพิสูจน์จากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นดู ก็จะรู้ว่า ทีมเศรษฐกิจชุดนี้ ไม่ได้คิดถึงการเมือง ไม่ได้คิดถึงปัจจุบัน หรือตัวเลขเศรษฐกิจอะไรที่ดีขึ้นเป็นผลงาน
แต่คิดไปถึง “อนาคตของประเทศ” อนาคตของไทย อย่างที่ รองนายกฯ สมคิด ชอบเน้นย้ำเสมอๆ นั่นแหละ