ทั้งนี้จากข้อมูลทางสถิติ ปัจจุบันมีผู้ต้องขังถูกควบคุมตัว ระหว่างการสอบสวนและพิจารณาคดี มากกว่า 6 หมื่นคน ซึ่งตามกฎหมายถือว่า “ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา” และถึงแม้ว่าผู้ต้องหาทุกคนจะมีสิทธิได้รับการประกันตัวดังกล่าวเป็นการชั่วคราว เพื่อออกมารวบรวมพยานหลักฐานและ พบทนายความ แต่เมื่อไม่มีทุนทรัพย์ จึงไม่ได้ใช้โอกาสนั้น ซึ่งเป็นโจทย์หลักของ “กองทุนยุติธรรม” ที่ยังไม่อาจหยิบยื่นความยุติธรรมให้ถึงมือ “ผู้ต้องคดีที่ยากจน”ได้
เรื่องดังกล่าวจึงเป็นที่มาของนโยบายของรัฐบาลนี้ ที่เห็นความสำคัญของการอำนวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำโดยการตรากฎหมายจัดตั้ง “กองทุนยุติธรรมให้เป็นนิติบุคคล” สำหรับช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้ได้รับโอกาส สามารถเข้าถึงความเป็นธรรมได้ ตลอดกระบวนการ ในรูปแบบการช่วยเหลือด้านการเงิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการปล่อยตัวชั่วคราว ค่าจ้างทนายความ ค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าฤชาธรรมเนียมในทุกประเภทคดี และค่าใช่จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง “โดยไม่จำกัดวงเงิน”
นอกจากนี้สามารถจะอนุมัติคำร้องนั้นๆ ได้ในจังหวัดของตนเอง โดยการรับคำร้องผ่าน “ศูนย์ยุติธรรมชุมชน” ซึ่งตั้ง ณ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้บ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ จังหวัด และยุติธรรมจังหวัด หรือที่ สำนักงานกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม กล่าวโดยรวมได้ว่าเป็น “เครือข่ายยุติธรรมชุมชน”
สำหรับการยกระดับกลไกในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของกองทุนยุติธรรมดังกล่าวของรัฐบาลนี้ นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ เมื่อเดือนเมษายน 2559 สามารถลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยให้พี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว เพื่อออกไปปกป้องความบริสุทธิ์ของตนตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ต้องติดคุก เหมือนที่ใครๆ มักกล่าวว่า “คนจนนอนคุก คนรวยนอนบ้าน”
ในระยะเวลา 1 ปี 8 เดือนที่ผ่านมา กองทุนยุติธรรมได้ใช้เงินราว 271 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องการช่วยให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว คิดเป็นร้อยละ 90 เทียบกับก่อนที่จะมีกฎหมายนี้ ในระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมารวมกัน ใช้จ่ายเงินทำได้เพียง 742 ล้านบาท ซึ่งพบว่าจากใช้จ่ายเงินในเรื่องดังกล่าวไม่ทั่วถึงกับความต้องการ นอกจากนี้ ในอนาคตประชาชนผู้มีรายได้น้อย จะต้องสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมได้ง่าย และสะดวกขึ้น ณ ที่บ้านของตนเองผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เพราะตนไม่อยากเห็น “คนจนร้องไห้ในคุก” ถ้าเขาไม่ได้ทำความผิด ถ้าผิดก็อีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหลายคนก็อาจจะพูดว่า คนจนก็ยังคงไม่ได้รับสิทธิอยู่เช่นเดิม ซึ่งตนเห็นควรว่าจะต้องไปดูที่กระบวนการในการที่จะเข้าถึง ในการที่จะอำนวยความสะดวกให้พี่น้องที่ยากจนจริงๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะพรรคพวก เพื่อนฝูง ที่กล่าวอ้างกันในเวลานี้ ซึ่งจะต้องทำให้กระบวนการการเข้าถึงเรื่องเหล่านี้ชัดเจน โปร่งใส ทั่วถึง และเป็นธรรมต่อไป