ตามสไตล์ “หน้าอ่อนฟันน้ำนม” แบบ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกับนโยบายเศรษฐกิจ และ แนวทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และแสดงความเป็นห่วง “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี
ก็เป็นธรรมดาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่บทบาทแบบนี้ เป็นเรื่องซึ่งเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ถ้าจะพูดให้เพราะก็คือการ “สร้างเครดิตให้กับตัวเอง ด้วยการวิจารณ์คนอื่น” แต่ถ้าจะพูดแบบภาษาบ้านๆ ก็คือการ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” จนเป็นเรื่องชินชา ตามประสาชาวบ้านที่ตั้งสมญานามให้ว่าเป็น “สไตล์การเมืองแบบลิเก”
และอาจเป็นสมญานามของหัวหน้าพรรคที่ได้ชื่อว่า สไตล์ “ฟันน้ำนม”!!
เนื้อหาใจความเกี่ยวกับความห่วงใยแบบฟันน้ำนม สรุปได้ว่า มีการระบุถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล และเรื่องของแนวนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่จะยังคงยึดแนวทางเดิม ตามที่รองนายกรัฐมนตรีได้เคยประกาศไว้ โดย อธิบายแบบฟันน้ำนมว่า หลายโครงการ อาทิ ช้อปช่วยชาติ และนโยบายเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
วาทะกรรมลิเกแบบเดิมๆ สไตล์ฟันน้ำนมแบบนี้ บอกได้เลยว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปตอบโต้ และแทบไม่มีราคาให้ต้องมานั่งรับฟัง …. ถ้านโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์เองก็ยังไม่ได้มีการนำเสนออะไรที่ดีกว่านี้ออกมาเพื่อให้เป็นทางเลือก
และนโยบายที่ผ่านของพรรคประชาธิปัตย์เองทุกยุคทุกสมัยก็ใช่ว่าจะสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งไปกว่านโยบายที่เป็นอยู่ในรัฐบาลปัจจุบันได้ ยกตัวอย่างเอาแค่ นโยบายไทยเข้มแข็งนั่นปะไร เศรษฐกิจไทยไปโลดกระนั่นหรือ?
หนักไปกว่านั้น ตอนหัวหน้าพรรคฟันน้ำนมเป็นนายกฯ เรื่อง “ไข่ชั่งกิโล” นี่จัดได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งเศรษฐศาสตร์ของโลกผู้มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจกระนั่นหรือ?
ฉะนั้นเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงพรรคการเมือง ถึงนักการเมืองเรื่อง “ดีแต่พูด” ดูเหมือนจะเป็นเดียวที่น่าจะเห็นภาพได้ดีที่สุดหรือเปล่า? ….
เรื่องนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้ผลหรือไม่ ประชาชนตัดสินเองได้ คงไม่ต้องให้ลิเกหรือเด็กฟันน้ำนมที่ไหนมาชี้นำ ยิ่งการออกมาพูดแบบไม่สร้างสรรค์ ไม่เกิดประโยชน์ พูดไปก็เท่านั้น เหมือนจะ “เข้าตัวซะเปล่าๆ” ก็ให้นึกถึงตอนตัวเองมีอำนาจบ้าง ทำอะไรไว้ให้ชาวบ้านบ้าง แล้วเสียงตอบรับกลับมาเป็นอย่างไร “ไม่โดนขว้างไข่ใส่หน้าก็ถือว่าบุญแค่ไหนแล้ว”
“ทำชั่วให้ตี ทำดีให้ชม”เป็นเรื่องไม่แปลก เรื่องวิพากษ์วิจารณ์หรือแนะนำติชมเรื่องธรรมดา เชื่อขนมกินได้เลยว่า รัฐบาล และ คีย์แมนเศรษฐกิจทั้งหลาย ยินดีน้อมรับฟัง แต่ต้องเน้นย้ำว่า ถ้าวิจารณ์ ติติง แนะนำแล้ว นำไปสู่สิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์
แต่ถ้าพูดเอาเครดิตใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ตามสไตล์เดิมๆ แบบเดิมๆ ที่เคยเป็นมา ไม่มีประโยชน์แม้จะต้องเอียงหูไปฟัง
ก็แค่เสียงนกเสียงกา เสียงลำโพงลิเกเก่าๆ ที่พระเอกลิเก ยังหลงวิกหลงมุก เล่นอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ลองกลับไปทบทวนตัวเองดูก่อนว่า “แม่ยกคนดูทั้งหลายจะเบื่อขนาดไหน”
ก่อนจะใช้ สไตล์ฟันน้ำนมออกมาพูดอะไร กลับไปทบทวนตัวเองให้ดีๆ ก่อนดีกว่า ว่า “เคยทำอะไรไว้บ้าง?” ที่สำคัญไปกว่านั้น “กลับไปหานมกินก่อนนอนตื่นขึ้นมาจะได้ฉลาดและคิดไปถึงอนาคตว่า “ตัวเองจะทำอะไร”
เอ๊า …ใครอยากเห็นนโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์บ้างยกมือขึ้น!
ลองถามกลับไปที่หัวหน้าคณะดู ก่อนจะวิจารณ์การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของใคร ลองถามดูก่อนว่า ว่าวันนี้ ประชาธิปัตย์มีนโยบายเศรษฐกิจกับเขาหรือยัง? …. มัวแต่วิจารณ์คนอื่นอยู่ได้
ก็เป็นธรรมดาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่บทบาทแบบนี้ เป็นเรื่องซึ่งเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ถ้าจะพูดให้เพราะก็คือการ “สร้างเครดิตให้กับตัวเอง ด้วยการวิจารณ์คนอื่น” แต่ถ้าจะพูดแบบภาษาบ้านๆ ก็คือการ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” จนเป็นเรื่องชินชา ตามประสาชาวบ้านที่ตั้งสมญานามให้ว่าเป็น “สไตล์การเมืองแบบลิเก”
และอาจเป็นสมญานามของหัวหน้าพรรคที่ได้ชื่อว่า สไตล์ “ฟันน้ำนม”!!
เนื้อหาใจความเกี่ยวกับความห่วงใยแบบฟันน้ำนม สรุปได้ว่า มีการระบุถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล และเรื่องของแนวนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่จะยังคงยึดแนวทางเดิม ตามที่รองนายกรัฐมนตรีได้เคยประกาศไว้ โดย อธิบายแบบฟันน้ำนมว่า หลายโครงการ อาทิ ช้อปช่วยชาติ และนโยบายเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
วาทะกรรมลิเกแบบเดิมๆ สไตล์ฟันน้ำนมแบบนี้ บอกได้เลยว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปตอบโต้ และแทบไม่มีราคาให้ต้องมานั่งรับฟัง …. ถ้านโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์เองก็ยังไม่ได้มีการนำเสนออะไรที่ดีกว่านี้ออกมาเพื่อให้เป็นทางเลือก
และนโยบายที่ผ่านของพรรคประชาธิปัตย์เองทุกยุคทุกสมัยก็ใช่ว่าจะสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งไปกว่านโยบายที่เป็นอยู่ในรัฐบาลปัจจุบันได้ ยกตัวอย่างเอาแค่ นโยบายไทยเข้มแข็งนั่นปะไร เศรษฐกิจไทยไปโลดกระนั่นหรือ?
หนักไปกว่านั้น ตอนหัวหน้าพรรคฟันน้ำนมเป็นนายกฯ เรื่อง “ไข่ชั่งกิโล” นี่จัดได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งเศรษฐศาสตร์ของโลกผู้มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจกระนั่นหรือ?
ฉะนั้นเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงพรรคการเมือง ถึงนักการเมืองเรื่อง “ดีแต่พูด” ดูเหมือนจะเป็นเดียวที่น่าจะเห็นภาพได้ดีที่สุดหรือเปล่า? ….
เรื่องนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้ผลหรือไม่ ประชาชนตัดสินเองได้ คงไม่ต้องให้ลิเกหรือเด็กฟันน้ำนมที่ไหนมาชี้นำ ยิ่งการออกมาพูดแบบไม่สร้างสรรค์ ไม่เกิดประโยชน์ พูดไปก็เท่านั้น เหมือนจะ “เข้าตัวซะเปล่าๆ” ก็ให้นึกถึงตอนตัวเองมีอำนาจบ้าง ทำอะไรไว้ให้ชาวบ้านบ้าง แล้วเสียงตอบรับกลับมาเป็นอย่างไร “ไม่โดนขว้างไข่ใส่หน้าก็ถือว่าบุญแค่ไหนแล้ว”
“ทำชั่วให้ตี ทำดีให้ชม”เป็นเรื่องไม่แปลก เรื่องวิพากษ์วิจารณ์หรือแนะนำติชมเรื่องธรรมดา เชื่อขนมกินได้เลยว่า รัฐบาล และ คีย์แมนเศรษฐกิจทั้งหลาย ยินดีน้อมรับฟัง แต่ต้องเน้นย้ำว่า ถ้าวิจารณ์ ติติง แนะนำแล้ว นำไปสู่สิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์
แต่ถ้าพูดเอาเครดิตใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ตามสไตล์เดิมๆ แบบเดิมๆ ที่เคยเป็นมา ไม่มีประโยชน์แม้จะต้องเอียงหูไปฟัง
ก็แค่เสียงนกเสียงกา เสียงลำโพงลิเกเก่าๆ ที่พระเอกลิเก ยังหลงวิกหลงมุก เล่นอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ลองกลับไปทบทวนตัวเองดูก่อนว่า “แม่ยกคนดูทั้งหลายจะเบื่อขนาดไหน”
ก่อนจะใช้ สไตล์ฟันน้ำนมออกมาพูดอะไร กลับไปทบทวนตัวเองให้ดีๆ ก่อนดีกว่า ว่า “เคยทำอะไรไว้บ้าง?” ที่สำคัญไปกว่านั้น “กลับไปหานมกินก่อนนอนตื่นขึ้นมาจะได้ฉลาดและคิดไปถึงอนาคตว่า “ตัวเองจะทำอะไร”
เอ๊า …ใครอยากเห็นนโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์บ้างยกมือขึ้น!
ลองถามกลับไปที่หัวหน้าคณะดู ก่อนจะวิจารณ์การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของใคร ลองถามดูก่อนว่า ว่าวันนี้ ประชาธิปัตย์มีนโยบายเศรษฐกิจกับเขาหรือยัง? …. มัวแต่วิจารณ์คนอื่นอยู่ได้