น้ำลดตอผุด

น้ำลดตอผุด


ข้อบ่งชี้สะท้อนอาการปวกเปียกเป็นมะเขือเผาของรัฐบาล ในการเผด็จศึกพฤติกรรมทุจริตมีตั้งแต่กรณีการโยก พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดทางให้บรรดาเปรต-กระสือ-กระหัง ที่อยู่ในร่างทรงฆราวาสและอลัชชี ซึ่งส้องเสพ “เงินทอนวัด” ลอยนวลเถิดเทิงทิงนองนอย หรือกรณีการรวบรัด “ปั้นน้ำเป็นตัว” อนุมัติยกป่าชุมชนให้เอกชนเช่าทำประโยชน์อย่างมีเลศนัย และรีบร้อนลนลานยกเลิกแบบปัจจุบันทันด่วน เมื่อ “จำนน” ต้องพลังคัดค้านของภาคประชาชน หรืออีกกรณีที่มีความพยายามเสกสรรปั้นแต่ง บันดาลความชอบธรรมในการสร้างโรงไฟฟ้าที่จังหวัดสงขลา และท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นไปแบบมีเงื่อนงำ กรณีเคลื่อนไหววิ่งเต้นกันขาขวิดของบรรดาบุคลากรภาครัฐ หลายหน่วยงานที่พยายามอุปโลกน์ความชอบธรรมในการขอรับการยกเว้นการบังคับใช้พระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมเป็นต้นมา ก็น่าจะจัดเป็นดัชนีบ่งชี้ความอ่อนแอของกลไกการกวาดล้างคอร์รัปชั่น เพื่ออนุรักษ์ความสกปรกซกหมกให้อยู่เคียงคู่ระบบราชการไปนานๆ   ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นด้วยเหตุฉะนี้หรือไฉน จึงทำให้ นายประภัตร โพธสุธน นักการเมืองแกนนำสำคัญของพรรคชาติไทยพัฒนา พูดออกมาเต็มปากเต็มคำต่อหน้านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกมากหน้าหลายตาระหว่างเดินสายตรวจเยี่ยมชาวบ้าน ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ถ้อยคำที่นายประภัตรโพล่งออกมาต่อหน้าต่อตานายกรัฐมนตรี มีใจความสำคัญว่าในยามยากของเศรษฐกิจแบบนี้มีแค่พระและข้าราชการที่ยังทำงานกินเงินเดือนเท่านั้นที่สบาย เหตุปัจจัยหลอมละลายคะแนนประชานิยมของรัฐบาลประการที่สอง คือช่องว่างความเหลื่อมล้ำของฐานะรายได้ประชาชน รัฐบาลอาจจะย้อนแย้งยืนยันถึงความพยายามอัดฉีดความช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อยไปมากมายผ่านหลายช่องทางเพื่อเติมเต็มช่องว่างความเหลื่อมล้ำ แต่ความอัตคัดขัดสนของผู้มีรายได้น้อยยังคงมีให้เห็นทั่วไปในทุกหัวระแหง  ซึ่งเป็นปรากฏการณ์จริงที่รัฐบาลยากจะปฏิเสธ นักเศรษฐศาสตร์การเมืองบางท่าน วิเคราะห์วิพากษ์แนวทางความพยายามลดความเหลื่อมล้ำที่รัฐบาลทำมาตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีว่า เป็นการซ้ำเติมภาระหนี้แก่ประชาชน และเพิ่มภาระหนี้แก่ประเทศชาติโดยรวม หนทางที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาลและหัวขบวนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพลิกฟื้นคะแนนประชานิยมให้กระเตื้องตัวดีขึ้น จำเป็นต้อง “ดับที่เหตุ” ด้วยการเอาจริงเอาจังกับการกำจัดกวาดล้างคอร์รัปชั่นโดยไม่เห็นแก่ความเป็นพี่ หรือความเป็นเพื่อน และต้องทุ่มเท “ปลดล็อค” ตัวถ่วงการเดินหน้าโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็นเพียงความหวังเดียวที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุดในการฟื้นเศรษฐกิจ ฟื้นความอยู่ดีกินดีให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หาไม่แล้วทั้งตอและขยะที่บรรดาพี่ – เพื่อนทำหรือสะสมเอาไว้จะถูกถลกขึ้นมาถล่มจนรัฐบาลอาจต้องม้วนเสื่อกลับบ้านเก่าก่อนเวลาอันควร….ถึงตอนนั้นโอกาสการคืนความสุขแก่ประชาชนก็จะจบเห่ !!   …………………………………………………….