พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2560 ว่า ในสัปดาห์หน้าคือวันที่ 18 – 19 กันยายนนี้ ตนและคณะรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคกลาง โดยครั้งนี้จะเดินทางไปพบพี่น้องชาวสุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา ส่วนรัฐมนตรีต่างๆ มีแผนที่จะกระจายกันลงปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบาย และติดตามประเมินผล ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องกำกับดูแล เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล
ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมรับทราบปัญหา ข้อเรียกร้องจากพี่น้องประชาชนเพิ่มเติมเช่นเคย โดยประชาชนในพื้นที่สามารถส่งคำร้องผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ซึ่งตนได้สั่งการให้มีการเปิดขึ้นในขณะที่มีการลงพื้นที่ เพื่อรับเรื่องร้องเรียน ปัญหาความเดือดร้อน ข้อเสนอแนะต่างๆ ซึ่งตนยืนยันว่าข้อร้องเรียน หรือข้อเสนอแนะดังกล่าวจะส่งถึงตนโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันความสับมนวุ่นวาย และมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัย
สำหรับรัฐบาลนี้เห็นว่า “ตำบล – ชุมชน – หมู่บ้าน” ประชาชนทุกหมู่เหล่า เป็นจุดยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ หากเราสามารถสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานรากนี้ ได้สำเร็จ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้มีรากแก้วที่มั่นคงประเทศชาติก็จะมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนด้วยถ้าประชาชนเราเข้มแข็ง
ที่ผ่านมาตนทราบว่ามีหลายโครงการ ทั้งในปัจจุบัน และในปีหน้า ตามแผนพัฒนาภาคกลาง โดยรัฐบาลได้แบ่งแผนการพัฒนาโครงการเป็น 6 ภาคด้วยกัน ในการบริหารจัดการด้วยงบประมาณในแผนงานดำเนินโครงการต่างๆ ซึ่งตนต้องการรับทราบความคืบหน้า และ ลงไปแก้ปัญหาให้ โดยหยิบยกขึ้นมาสู่ “โต๊ะประชุม ครม.” เพื่อให้การสั่งการต่างๆ รวดเร็วยิ่งขึ้น สิ่งใดที่ทำได้และต้องเร่งดำเนินการ ก็ให้ทำทันทีทั้งการเพิ่มศักยภาพภาคการเกษตร เรื่องเกษตรแปลงใหญ่ – เกษตรปลอดภัย, การยกระดับภาคอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน รวมทั้งการค้าชายแดน, การพัฒนาโครงการพิเศษขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองสมุนไพร การบริหารจัดการน้ำ และ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ – เชิงธรรมชาติ – เชิงประวัติศาสตร์ และที่สำคัญ คือการพัฒนาสังคม การยกระดับคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันตนดีใจ ที่จะได้ไปพบพี่น้องถึงถิ่นอาศัยของท่าน บางท่านอาจจะต้องเดินทางมาบ้าง เพราะเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นที่จะไปเยี่ยมในทุกพื้นที่ ก็อยากให้มาทุกภาคส่วน รัฐมนตรีเอง หัวหน้าส่วนราชการเองก็มีความกระตือรือร้นและเตรียมทำการบ้านล่วงหน้า ก่อนลงพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ แก่พี่น้องประชาชนสูงสุด
ส่วนราชการต้องไม่สร้างภาระให้กับประชาชนในการต้อนรับ หรือมีพิธีการใหญ่โต ไปเอาเรื่องว่าเราจะทำงานกันยังไง พบปะประชาชนพ่อแม่พี่น้อง คนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่ม ต้องไม่สร้างความเข้าใจผิด ให้ใครนำไปบิดเบือนได้เช่นที่ผ่านมา
สำหรับการลงพื้นที่ของรัฐบาลและ คสช. เพื่อต้องการลงไปรับทราบปัญหา และเร่งแก้ไข ไม่ใช่ไปสร้างคะแนนเสียง ความนิยมอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันในปัจจุบัน ตนทำอะไรที่มันแตกต่าง เพราะวันนี้หลายคนก็อ้างว่าไม่มีสส.ไม่มีใครไปดูแล วันนี้เราก็มีศูนย์ดำรงธรรมรับข้อมูลอยู่แล้วทุกพื้นที่ระดับอำเภอ ช่วยในการแก้ไขปัญหาของประชาชน ซึ่งแก้ปัญหาได้ประมาณสัก 90 กว่าเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ตนหวังว่า “ความจริงใจ” ของตน ที่มีต่อพี่น้องประชาชน และประเทศชาติ จะสามารถสร้าง “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ให้กับทุกคน จนนำไปสู่ความเข้าใจ และความร่วมมือกัน ในการช่วยกัน นำพาประเทศก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆและ เดินหน้าต่อไป อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมรับทราบปัญหา ข้อเรียกร้องจากพี่น้องประชาชนเพิ่มเติมเช่นเคย โดยประชาชนในพื้นที่สามารถส่งคำร้องผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ซึ่งตนได้สั่งการให้มีการเปิดขึ้นในขณะที่มีการลงพื้นที่ เพื่อรับเรื่องร้องเรียน ปัญหาความเดือดร้อน ข้อเสนอแนะต่างๆ ซึ่งตนยืนยันว่าข้อร้องเรียน หรือข้อเสนอแนะดังกล่าวจะส่งถึงตนโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันความสับมนวุ่นวาย และมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัย
สำหรับรัฐบาลนี้เห็นว่า “ตำบล – ชุมชน – หมู่บ้าน” ประชาชนทุกหมู่เหล่า เป็นจุดยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ หากเราสามารถสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานรากนี้ ได้สำเร็จ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้มีรากแก้วที่มั่นคงประเทศชาติก็จะมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนด้วยถ้าประชาชนเราเข้มแข็ง
ที่ผ่านมาตนทราบว่ามีหลายโครงการ ทั้งในปัจจุบัน และในปีหน้า ตามแผนพัฒนาภาคกลาง โดยรัฐบาลได้แบ่งแผนการพัฒนาโครงการเป็น 6 ภาคด้วยกัน ในการบริหารจัดการด้วยงบประมาณในแผนงานดำเนินโครงการต่างๆ ซึ่งตนต้องการรับทราบความคืบหน้า และ ลงไปแก้ปัญหาให้ โดยหยิบยกขึ้นมาสู่ “โต๊ะประชุม ครม.” เพื่อให้การสั่งการต่างๆ รวดเร็วยิ่งขึ้น สิ่งใดที่ทำได้และต้องเร่งดำเนินการ ก็ให้ทำทันทีทั้งการเพิ่มศักยภาพภาคการเกษตร เรื่องเกษตรแปลงใหญ่ – เกษตรปลอดภัย, การยกระดับภาคอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน รวมทั้งการค้าชายแดน, การพัฒนาโครงการพิเศษขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองสมุนไพร การบริหารจัดการน้ำ และ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ – เชิงธรรมชาติ – เชิงประวัติศาสตร์ และที่สำคัญ คือการพัฒนาสังคม การยกระดับคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันตนดีใจ ที่จะได้ไปพบพี่น้องถึงถิ่นอาศัยของท่าน บางท่านอาจจะต้องเดินทางมาบ้าง เพราะเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นที่จะไปเยี่ยมในทุกพื้นที่ ก็อยากให้มาทุกภาคส่วน รัฐมนตรีเอง หัวหน้าส่วนราชการเองก็มีความกระตือรือร้นและเตรียมทำการบ้านล่วงหน้า ก่อนลงพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ แก่พี่น้องประชาชนสูงสุด
ส่วนราชการต้องไม่สร้างภาระให้กับประชาชนในการต้อนรับ หรือมีพิธีการใหญ่โต ไปเอาเรื่องว่าเราจะทำงานกันยังไง พบปะประชาชนพ่อแม่พี่น้อง คนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่ม ต้องไม่สร้างความเข้าใจผิด ให้ใครนำไปบิดเบือนได้เช่นที่ผ่านมา
สำหรับการลงพื้นที่ของรัฐบาลและ คสช. เพื่อต้องการลงไปรับทราบปัญหา และเร่งแก้ไข ไม่ใช่ไปสร้างคะแนนเสียง ความนิยมอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันในปัจจุบัน ตนทำอะไรที่มันแตกต่าง เพราะวันนี้หลายคนก็อ้างว่าไม่มีสส.ไม่มีใครไปดูแล วันนี้เราก็มีศูนย์ดำรงธรรมรับข้อมูลอยู่แล้วทุกพื้นที่ระดับอำเภอ ช่วยในการแก้ไขปัญหาของประชาชน ซึ่งแก้ปัญหาได้ประมาณสัก 90 กว่าเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ตนหวังว่า “ความจริงใจ” ของตน ที่มีต่อพี่น้องประชาชน และประเทศชาติ จะสามารถสร้าง “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ให้กับทุกคน จนนำไปสู่ความเข้าใจ และความร่วมมือกัน ในการช่วยกัน นำพาประเทศก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆและ เดินหน้าต่อไป อย่างยั่งยืน
