“ลาว – จีน” สงครามความรู้สึก ไซเรนข้ามโขงเตือนถึงไทย

“ลาว – จีน” สงครามความรู้สึก ไซเรนข้ามโขงเตือนถึงไทย


หลังเป็นกระแสในโลกโซเชียลและมีการตอบโต้ผ่านเฟสบุ๊ค โดยบุคคลระดับสูงของสปป.ลาว เกี่ยวกับกรณีนักลงทุนจีนเช่าที่ปลูกกล้วยในประเทศลาว แล้วส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาวะของประชาชนในท้องถิ่น ชนิดที่คนลาวรับไม่ได้ กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีประเทศลาว ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่ารัฐบาลไม่อาจเมินเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว และเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการเช่าที่ดินเพื่อปลูกสวนกล้วยจากนักลงทุนจีนเด็ดขาด เพราะเกิดผลเสียตามมามากมาย เช่นทำให้พื้นดินที่ใช้เพาะปลูกปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี ไม่สามารถปลูกพืชชนิดอื่น ๆได้อีก หรือการที่ชาวบ้านเกิดปัญหาด้านสุขภาพจากสารเคมีที่ปนเปื้อนลงไปตามแหล่งน้ำธรรมชาติ และการเข้าไปทำงานในสวนกล้วย เพื่อแลกกับรายได้จากค่าเช่าเพียงเล็กน้อย” สำหรับประเทศลาวแล้วแน่นอนว่า กรณีที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกมากพอสมควร การโพสต์ลงเฟสบุ๊คส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีลาวไม่เพียงส่งสัญญาณของ“สงครามทางความรู้สึกระหว่างประชาชนลาว และ นักลงทุนจากจีนที่ไร้ความรับผิดชอบ” นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณกระตุ้นย้ำถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำประเทศ ต่อนโยบายที่ผิดพลาดและสะท้อนกลับมาด้วย “การแก้ไข” ที่ได้ใจคนลาว และยังเป็นเสียงสะท้อนกลับมาถึงประเทศไทย ที่ควรจะต้อง“ทบทวน”ท่าทีเกี่ยวกับแนวคิดส่งเสริมการลงทุนโดยเฉพาะกับนักลงทุนจากประเทศจีนที่ไร้ความรับผิดชอบ และควรจะมีมาตรการออกมาป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น และกำลังจะลุกลามจากรณีที่เกิดขึ้นในลาวครั้งนี้ เรื่องเล็ก ๆที่กำลังจะไม่เล็ก จาก “จีนถึงลาว จากลาวถึงไทย” ที่ใช้แม่น้ำโขงร่วมกัน กรณีสวนกล้วยที่ทำสิ่งแวดล้อมในลาววอดวายลามมาถึงไทยแล้ว “สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา” ผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา อ.เชียงของ จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า เวลานี้ในหลายอำเภอของจังหวัดเชียงราย เช่น อ.เวียงแก่น อ.เชียงของ อ.เชียงแสน กำลังประสบปัญหาจากนักลงทุนจีนมักง่ายเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อปีที่แล้วพบว่าปลาที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงตอนล่างสวนกล้วย ที่บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น พบปลาแค้ยักษ์ขนาดน้ำหนักเกือบร้อยกิโลกรัม รวมทั้งสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ จู่ๆ ก็ลอยคอมาให้จับโดยง่ายซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ทำให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากมีการปนเปื้อนสารเคมีจากสวนกล้วยของนักลงทุนจีน “ที่ผ่านมามีชาวลาวหลายคนสอบถามมาที่ผมเสียด้วยซ้ำไปว่า เหตุใดรัฐบาลไทยจึงยังยินยอมให้มีการเช่าที่ปลูกสวนกล้วยหอมในลักษณะนี้ ซึ่งทางการลาวได้ประกาศห้ามไปแล้วแต่เหตุใดในพื้นที่ จ.เชียงราย จึงยังปล่อยให้มีการทำในลักษณะนี้อยู่ หนำซ้ำ เรื่องนี้ยังเคยมีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิฯ เพื่อให้ตรวจสอบกระทั่งมีการลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วด้วย แต่ผ่านไปแล้วเกือบ 1 ปี กลับไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใดๆ ออกมาเลย” นายสมเกียรติกล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นจากกรณี “สวนกล้วยของนักลงทุนจีนกับผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างไร้ความรับผิดชอบในสปป.ลาว” กระตุ้นตอกย้ำถึงจุดยืนของรัฐบาลไทย ที่กำลังก้าวเข้าไปสู่แนวคิดของการส่งเสริมการลงทุน ขยายการลงทุนจากนักลงทุนในจีน กับภาพของโครงการต่าง ๆ ที่จะมาจากประเทศจีน ทั้งเรื่องของการเดินเรือในแม่น้ำโขง หรือ เรื่องของการ “เช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตรโดยทุนจากจีน” รวมไปถึง ธุรกิจเกี่ยวกับ “ล้ง” ที่ หลายครั้งก็ทำลายความรู้สึกของคนไทยและเกษตรกรไทยด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้ว “สวนกล้วยของนักลงทุนจีน”ซึ่งเกิดในสปป.ลาว จึงย้ำเตือนประชาชนสองฝั่งแม่น้ำโขงให้ได้เห็นอันตรายแห่งอนาคต อันตรายที่มาพร้อม ๆ กับรูปแบบของการลงทุนที่รัฐบาลไทยเองก็ไม่ควรจะนิ่งเฉย ควรจะเร่งศึกษาข้อมูลเรื่องนี้อย่างจริงจัง และที่สำคัญ “น่าจะต้องกลับมาทบทวนหลากหลายโครงการ” และ หลากหลายรูปแบบการลงทุนกันใหม่ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณไซเรนข้ามแม่น้ำโขงกับอันตรายที่แฝงมากับทุนจีน ที่อาจทำลายทั้งวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมสองฝั่งโขงถึงพังพินาศ