ครั้งแล้วครั้งเล่าที่นครปัตตานี..ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ถูกยัดเยียดความรุนแรงที่คละคลุ้งด้วยคาวเลือดและเนืองนองไปด้วยคราบน้ำตา โดยไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันวันเวลาแห่งการกลับคืนสู่ความสงบสันติให้ชาวบ้านมั่นใจได้เลย
กรณีระเบิด “คาร์บอมบ์” ที่ห้างบิ๊กซี สาขาปัตตานี ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ช่วงบ่ายวันอังคารที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีจำนวนผู้บาดเจ็บกว่าครึ่งร้อย คือเหตุการณ์ความรุนแรงล่าสุดที่ปะทุขึ้นจากฝีมือพวก “ผีบุญ”ที่ชอบอวดอ้างศาสนา สร้างความชอบธรรมในการก่อเหตุรุนแรง และสร้างความหวาดหวั่นขวัญผวาแก่พี่น้องชาวบ้านที่นั่น
พฤติกรรมการก่อเหตุรุนแรงที่ปัตตานีครั้งล่าสุด เทียบเคียงกับเหตุการณ์ความรุนแรง 2 ครั้งก่อนหน้านี้มีความแปลกแยกแตกต่างไปจากเหตุการณ์ความรุนแรงก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้าเหตุการณ์ความรุนแรง 3 ครั้งหลังสุด กลุ่มผีบุญขบวนการก่อเหตุรุนแรงจะโจรกรรมยานพาหนะสำหรับใช้ก่อเหตุไปกระทำการดัดแปลง แล้วซุกซ่อนวัตถุระเบิดไว้ในรถที่ถูกดัดแปลง ก่อนจะนำไปวางไปตามจุดเป้าหมายที่ต้องการสร้างความรุนแรง
ช่องว่างระหว่างเวลาโจรกรรมรถ-ดัดแปลง-บรรจุระเบิด-นำไปวางในจุดก่อเหตุ ซึ่งกินเวลาหลายวัน เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่สามารถแจ้งรูปพรรณสัณฐานรถที่ถูกโจรกรรม เตือนภัยให้รับทราบล่วงหน้า ทำให้การลงมือของผู้ก่อเหตุถูกจำกัดลง
กลุ่มผีบุญ ขบวนการก่อเหตุรุนแรงได้พลิกเกมสู้ด้วยยุทธวิธีแบบ “สายฟ้าแลบ” โดยลงมือโจรกรรมรถแล้วนำไปก่อเหตุแบบฉับพลันทันที ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังการโจรกรรมรถ ซึ่งปิดโอกาสแจ้งความของเจ้าทรัพย์ และปิดโอกาสการแจ้งเตือนล่วงหน้าของเจ้าหน้าที่
ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังความสำเร็จในการก่อเหตุรุนแรงของบรรดาเหล่าผีบุญ กลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ยังอาจมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลง “ไส้ใน”ของคณะพูดคุยสันติสุข รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงการจัดกำลังของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อปี 2559-2560
กำลังทหารจากนอกพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ซึ่งเคยกระจายความรับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยในแต่ละจังหวัด ถูกถอนออกไป เปิดทางให้กำลังกองทัพภาคที่ 4 ทำหน้าที่รับผิดชอบเบ็ดเสร็จ ร่วมกับกองกำลังทหารพรานและชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)
พื้นที่บางพื้นที่ ซึ่งเคยมอบหมายความไว้วางใจให้หน่วยนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ดูแลรับผิดชอบ ก็มีการสับเปลี่ยนให้กองทัพบก เข้าไปกระชับพื้นที่
นอกจากนี้ในมิติของชุดข้อมูลจากพื้นที่ ก็มีความแตกต่างหลากหลายกันไป ทั้งที่เป็นชุดข้อมูลอธิบายเหตุการณ์เดียวกัน จากจุดเกิดเหตุเดียวกัน
ชาวบ้านในจังหวัดชายแดนใต้ เรียนรู้ที่จะจัดชุดข้อมูลให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ แตกต่างไปจากชุดข้อมูลที่จะส่งมอบแก่องค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ
การเกิดขึ้นของกลไกที่ชาวบ้านเรียกขานว่า “ครม.ส่วนหน้า” ซึ่งมี พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหมและอดีตผบ.ทบ. ร่วมกับอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 รองแม่ทัพภาคที่ 4 รวมทั้งอดีตเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) รวมทั้งสิ้น 13 คน ดูไม่สู้จะมีผลงานเป็นมรรคเป็นผลเข้าตาชาวบ้าน มิเช่นนั้นเหตุการณ์ความรุนแรงที่บิ๊กซี กลางเมืองปัตตานี คงไม่เกิดขึ้น
พี่น้องในพื้นที่ทั้งผู้นำศาสนา…ผู้นำชุมชน..ครู เคยตั้งความหวังไว้สูงมากกับ ครม.ส่วนหน้า และคาดหวังอยากให้ ครม.ส่วนหน้า ทำหน้าที่เสมือน”หมอปราบผี” ปักหลักปฏิบัติหน้าที่แบบ “เต็มเวลา” ร่วมทุกข์…ร่วมสุข…ร่วมสัมผัสสถานการณ์จริงกับชาวบ้านอยู่ในพื้นที่ เพื่อกำราบผีให้ราบคาบ ไม่ใช่ ครม.ส่วนหน้า ที่ทำตัวเป็น “หมอผีพาสไทม์” ทำงานกันแบบ “โฉบไปโฉบมา” แค่พอให้ชาวบ้านเห็นหน้า
ความหวัง…ความคาดหวังของชาวบ้าน ต่อความจริงของการปฏิบัติหน้าที่ ครม.ส่วนหน้า ซึ่งมีสถานที่ปฏิบัติงานชัดเจนในกองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระศรีสุริโยทัย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ดูช่างสวนทางกันอย่างแรง
ปรากฏการณ์ “ปัตตานีเปื้อนเลือด”ครั้งล่าสุดที่บิ๊กซี ทั้งๆที่ดินแดนแห่งนี้คับคั่งไปด้วยค่ายทหารขนาดใหญ่ถึง 3 ค่าย คือค่ายสิรินธร…ค่ายอิงคยุทธบริหาร…ค่ายสมเด็จพระศรีสุริโยทัย นับเป็นปรากฏการณ์ที่ชวนให้น่าเคลือบแคลงสงสัยในการก้าวย่างตามแบบอย่างแห่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าด้วยการ “เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา”
พระเดชพระคุณเจ้าคุณธงชัย แห่งวัดไตรมิตรฯ เคยให้ข้อคิดสะกิดใจไว้อย่างน่าขบคิดว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ รู้จักภาษาถิ่นดีแค่ไหน…คุยกับชาวบ้านรู้เรื่องแค่ไหน…เข้าใจภาษาที่ชาวบ้านคุยกันชัดเจนแค่ไหน
ตราบใดก็ตามที่เรายังไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงสิ่งที่ชาวบ้านพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน…ตราบนั้นเราย่อมยังเข้าไม่ถึงหัวจิตหัวใจของชาวบ้าน…เข้าไม่ถึงแก่นแท้ที่ชาวบ้านต้องการ
และตราบนั้น เราย่อมยังไม่สามารถกำหนดรูปแบบแนวทางการพัฒนาให้สอดคล้องกลมกลืนไปกับเจตนารมณ์ของชาวบ้าน
เชื่อหรือไม่เชื่อสามารถท้าพิสูจน์ได้จากผลงาน 7 กลุ่มภารกิจในความรับผิดชอบของ 13อัศวิน แห่งครม.ส่วนหน้า…ผ่านวันเวลาไปแล้วกว่า 6 เดือน มีอะไรบ้างที่น่าภาคภูมิใจ…มีอะไรบ้างที่ชาวบ้านมั่นใจ !!!
เมื่อใดก็ตามที่ชาวบ้านปัตตานี รวมทั้งที่ยะลา..นราธิวาส และอีก 4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลายังกลัวผี…โดนผีหลอกหลอนให้ต้องอกสั่นขวัญผวา โดยไม่มีความมั่นใจขีดความสามารถของ”หมอผี” ในการปราบผี เมื่อนั้นโอกาสที่เหตุการณ์ความรุนแรงที่นั่น จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นความสงบ-สันติ คงจะยากเย็นเข็ญใจยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเทือกเขาบูโดหรือดุซงญอ
………………………………