นายกฯหวังปชช.รู้เท่าทัน “สื่อโซเชี่ยล”

นายกฯหวังปชช.รู้เท่าทัน “สื่อโซเชี่ยล”


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายในรายการ“ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 ว่า “สื่อโซเชี่ยล”ในปัจจุบันนี้มีอิทธิพลสูง และแพร่กระจายออกไปได้กว้างขวางทั้งในสังคมไทยและโลกอย่างรวดเร็ว ทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าวหรือสร้างข่าวได้เองและผู้คนสามารถเสพข้อมูล รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้รวดเร็ว

ทั้งนี้สิ่งที่เป็นอันตรายมากที่สุดคือ การสร้างการรับรู้ที่ผิด บิดเบือนและไม่ใช่ข้อเท็จจริงซึ่งเราไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว  กลายเป็นการสร้างการรับรู้ที่ผิดออกไปสู่สังคมโลก ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อตนเอง ประเทศชาติ ผลประโยชน์ส่วนรวม

ดังนั้นตนต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายภาคส่วนต่าง ๆประชาชนได้พึงระลึกถึง แจ้งเตือนกัน ช่วยกันทำความเข้าใจ หาข้อมูลให้ดี รัฐบาลพร้อมที่จะตอบทุกคำถาม โดยก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นใดที่เป็นความขัดแย้ง หวังแต่ว่าให้สถานการณ์สงบ ไม่วุ่นวาย เราจะได้ใช้เวลาในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง หรือแก้ปัญหาภายในไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ สังคม หรืออื่น ๆ โดยได้รับการแก้ไขจากคนไทยด้วยกันเอง

ขณะเดียวกันรัฐบาลได้พยายามจัดระเบียบในกรอบของการบริหารราชการแผ่นดิน การใช้จ่ายงบประมาณหรือการจัดทำแผนงานโครงการต่าง ๆ ซึ่งจะต้องอาศัยการร่วมกันมือของภาคส่วนต่าง ๆโดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและต้องโปร่งใส รวมทั้งรัฐบาลได้มุ่งเน้นจะกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจกระจายความเจริญ ไปยังภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด แล้วก็ชุมชน หมู่บ้าน

สำหรับการกระจายอำนาจดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นจะต้องมีบทบาทในฐานะ “พ่อเมือง” จะต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนจังหวัดในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความต้องการในพื้นที่ที่เรียกว่า Area Base ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ, สังคม ,สิ่งแวดล้อม และหน้าที่ในการกำกับดูแลหน่วยงาน เจ้าหน้าที่จากทุกกระทรวง

นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องจัดทำแผนงานโครงการพัฒนาต่าง ๆให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเป็น “กลุ่มจังหวัดเป็น“ภูมิภาค” ตามนโยบายอย่างไร้รอยต่อ อาทิเช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่งทั่วประเทศจะเชื่อมโยงกันอย่างไร กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นศูนย์รวม ศูนย์กระจายสินค้า หรือการลงทุนประเภทอื่นๆ ให้ตรงกับศักยภาพ หรือทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ ทั้งคนไทย คนต่างประเทศ ที่จะมาลงทุนร่วมกัน ที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เรื่องการแก้ไขปัญหาความสงบสุขในภาคใต้ในโครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และในเรื่องของ Smart City ด้วย

อย่างไรก็ตามตนขอฝากให้ทุกกลุ่มงาน ทุกกระทรวง ต้องมีการทำงานในเชิงรุกด้วยวิสัยทัศน์ และการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพื่อจะให้ทุกภาคนั้นได้มีการเจริญเติบโตด้วยตนเองในทุกมิติ ลดการผลิต ลดการตลาดที่มีการแข่งขันหรือมีการผลิตที่ซ้ำซ้อน และเกินความจำเป็นเพื่อให้สอดรับกันอย่างแท้จริงในทุกมิติต่อไป