สังคมได้ประโยชน์อะไร??? จากพ.ร.บ.คอมฯฉบับใหม่

สังคมได้ประโยชน์อะไร??? จากพ.ร.บ.คอมฯฉบับใหม่


พูดตามหลักความตั้งใจของรัฐบาล
พ.ร.บ.คอมฯฉบับดังกล่าวจะเป็นการอำนวยประโยชน์ให้กับประชาชนและสังคม ซึ่ง ดร.พิเชฐ
ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมคนใหม่
ได้กล่าวไว้ภายหลังประชุมผู้บริหารกระทรวงและมอบนโยบายว่า
 กฎหมายฉบับนี้เป็นการปรับปรุงกฎหมายเดิมโดยคำนึงถึงคุณหรือประโยชน์แก่สังคมโดยรวม
ทำให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองไม่ว่าจะเป็นการคุกคามทางออนไลน์จากผู้ไม่หวังดีและช่วยเหลือผู้เสียหาย
โดยเจ้าหน้าที่สามารถไปตามเอาผิดกับผู้ที่กระทำความผิดต่อผู้เสียหาย
ตามขั้นตอนกระบวนการที่กฎหมายกำหนดได้ก่อนที่จะส่งให้ศาลพิจารณา

               สำหรับการแก้ไขนั้นจะทำให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมที่รวดเร็วขึ้น
อีกทั้งยังเพิ่มมาตรการดูแลเนื้อหาที่ผิดกฎหมายและเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและการก่อการร้าย
เพื่อลดผลกระทบต่อสังคมโดยการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ
ส่วนการปิดเว็บไซต์ก็ต้องผ่านกลไกของศาล เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชน
อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้
โดยหากเจ้าหน้าที่กระทำความผิดหรือทำไม่ถูกต้อง ก็ต้องรับโทษตามกฎหมายเช่นกัน

               นอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้
ยังจะให้ความคุ้มครองภาคธุรกิจและปกป้องรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลไม่ให้ถูกโจรกรรมข้อมูลต่าง
ๆของประชาชนและแฮกระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมทั้งลดการ

ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทางออนไลน์
คุ้มครองเจ้าของแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ให้ถูกละเมิด เช่นการประมูลของปลอมผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก
อีกทั้งปกป้องผู้บริสุทธิ์จากการส่งข้อมูลเท็จ ข้อมูลลวง ตลอดจนเว็บที่ไม่เหมาะสม
เช่น เว็บแชร์ลูกโซ่ เว็บพนัน ฯลฯ ปัญหาในสังคมก็จะลดลงตามไปด้วย

               สำหรับข้อเท็จจริงเรื่องของพ.ร.บ.คอมฯฉบับนี้
1.ไม่มีมาตราใดที่กำหนดให้ประเทศไทยมีเกตเวย์ (
Gateway) ในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตต่างประเทศเพียงจุดเดียว
จึงยืนยันว่าไม่มี
Single Gateway แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยมีเกตเวย์มากกว่า
10 แห่งที่ให้บริการโดยภาคเอกชน ซึ่งสามารถยื่นขออนุญาตให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศ
ตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553
ที่มีเปิดให้ภาคเอกชนสามารถให้บริการตามกลไกการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม

               ดังนั้นร่างพ.ร.บ.คอมฯจึงไม่ได้ให้รัฐเข้าไปสอดแนม
หรือล้วงข้อมูลการติดต่อสื่อสารของประชาชน อีกทั้งการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามร่างพ.ร.บ.คอมฯยังต้องทำตามกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามที่กฎหมายปัจจุบันกำหนดไว้
ซึ่งส่วนใหญ่ต้องขออนุญาตจากศาลก่อนจึงจะดำเนินการได้ เช่น ทำสำเนา
, ถอดรหัส, การตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูล, ยึดอายัด ตามมาตรา 18 มาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. 2550 ที่แม้มีการแก้ไขด้วยในร่างพ.ร.บ.คอมฯ นี้
ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกลไกการตรวจสอบที่กำหนดไว้ดังกล่าว

               นอกจากนี้การสอดแนมหรือล้วงข้อมูลการติดต่อสื่อสารของประชาชน
ยังถือเป็นความผิดตามมาตรา 8แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. 2550 ฐานดักรับข้อมูลโดยไม่ชอบอีกด้วย และหากมีการใช้อำนาจในทางมิชอบ
กฎหมายก็กำหนดบทลงโทษ เช่น ม. 22 และ ม. 23

               2.ประเด็นตามม.14
(1) (2) ปิดกั้นเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น/ปิดปากการตรวจสอบโดยประชาชน/ปิดปากคนเห็นต่างนั้น
ข้อเท็จจริงคือม. 14 ที่แก้ไขไม่ได้ต้องการปิดกั้นเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น
ปิดปากการตรวจสอบของประชาชน

               3.ประเด็นเรื่องการแก้ไขพ.ร.บ.คอมฯ
ซึ่งจำเป็นต้องกระทำเนื่องมาจากพ.ร.บ.คอมฯฉบับเดิม ใช้บังคับเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยที่ผ่านมาพบว่ากฎหมายมีปัญหาในการตีความจนกระทบกับการบังคับใช้เช่น
การนำฐานความผิดที่ใช้กับเรื่องฉ้อโกงปลอมแปลงทางออนไลน์ไปใช้กับการหมิ่นประมาท ทำให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
จนทำให้เกิดการโจมตีจากประชาคมโลกและเกิดกระแสสังคมเรียกร้องหลักประกันสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นขึ้น
กอปรกับเพื่อเป็นการปรับปรุงกฎหมายให้เท่าทันกับเทคโนโลยีและภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป

               4.ร่างประกาศภายใต้ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้
ไม่ได้ให้อำนาจรัฐจัดตั้งศูนย์กลาง
Block web ที่เชื่อมต่อตรงระบบของผู้ให้บริการ
แต่เป็นการบูรณาการระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและตรวจสอบได้
อีกทั้งยังเป็นการให้เกิดความเป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ให้บริการ โดยข้อกังวลของภาคประชาชนดังกล่าวเป็นไปตามร่างประกาศฯเรื่อง
หลักเกณฑ์ ระยะเวลา และวิธีการปฏิบัติสำหรับการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บริการ
พ.ศ. …. ที่ออกภายใต้ร่างม.20 ที่กำหนดเรื่อง
การระงับการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือเว็บไซต์ (
Web Blocking) ที่เป็นความผิด ดังนี้ (1) ผิดกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(2) ผิดประมวลกฎหมายอาญา ที่กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย (3) ผิดกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (4)
ผิดกฎหมายอื่นและข้อมูลคอมพิวเตอร์มีลักษณะขัดต่อความสงบฯ หรือศีลธรรม (5) ข้อมูลที่มีลักษณะขัดต่อความสงบฯหรือศีลธรรม

               ทั้งนี้ในการระงับการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือเว็บไซต์ตามร่างม.20นั้น
ต้องดำเนินการตามกลไกที่ผ่านการกลั่นกรองของรมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และศาลก่อน เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจและในกรณีที่เป็นข้อมูลที่มีลักษณะขัดต่อความสงบฯ
หรือศีลธรรม แต่ไม่ผิดกฎหมายใดนั้น ร่าง ม. 20 ก็ได้เพิ่มกลไกดูแลเนื้อหาที่มีผลกระทบในวงกว้าง
โดยกำหนดให้ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เพื่อช่วยให้กระบวนการพิจารณามีความรอบคอบมากขึ้น
โดยในชั้นการพิจารณาของสนช.มีการเพิ่มเติมจำนวนคณะกรรมการกลั่นกรองฯจาก 5 คนเป็น 9
คน และกำหนดว่าอย่างน้อยต้องมาจากภาคเอกชน ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสื่อสารมวลชน
ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง
เพื่อดูแลไม่ให้กระทบเสรีภาพในการแสดงความเห็น

               ดังนั้นจึงไม่ได้ให้อำนาจรัฐหรือเจ้าหน้าที่เชื่อมต่อระบบผู้ให้บริการ
เพื่อปิดเว็บไซต์โดยไม่รับอนุญาตจากศาล ส่วนการจัดตั้งศูนย์กลางตามร่างประกาศฯไม่ได้จัดตั้งเพื่อหวังผลในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน
แต่เป็นการจัดตั้งเพื่อให้มีช่องทางในการประสานงานกับผู้ให้บริการ และติดตามการดำเนินการตามหมายศาล

อย่างไรก็ตามในส่วนเนื้อหาของร่างประกาศฯ
จะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆอีกครั้ง เพื่อให้ขั้นตอนการดำเนินการมีความเหมาะสม
โปร่งใส และตรวจสอบได้

               5.ประเด็นเรื่องที่กำหนดให้ผู้ให้บริการในฐานะตัวกลาง
ต้องเซนเซอร์ (
Censor) ตัวเองเพื่อไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย ซึ่งทำได้โดยไม่ต้องมีหมายศาลนั้น
โดยปกติผู้ให้บริการจะมีกลไกให้ผู้ใช้บริการรายงานเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว
เช่น การกดปุ่มแจ้งของ
Facebook หรือ Youtube ซึ่งเป็นกลไกปกติที่มีให้บริการอยู่แล้ว และช่วยลดข้อพิพาทโดยไม่ต้องใช้อำนาจทางกฎหมายบังคับ

6.
พ.ร.บ.คอมฯฉบับนี้จะมีการออกกฎหมายลูกหรืออนุบัญญัติ 2 ประเภท ได้แก่1)
ส่วนที่ปรากฏในพ.ร.บ.เดิมอยู่แล้ว 2) ประกาศกระทรวงฯซึ่งรมว.ดท.มีนโยบายว่าก่อนจะประกาศใช้ให้มีการทำประชาพิจารณ์กับผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนเพื่อให้มีการตรวจสอบที่รัดกุม
ทั้งร่างประกาศฯ ที่ออกภายใต้ร่าง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ในเรื่องต่างๆ 1.ประกาศ
เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับลักษณะและวิธีการส่งลักษณะ
และปริมาณของข้อมูลคอมพิวเตอร์ซึ่งไม่เป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับ
และลักษณะอันเป็นการปฏิเสธการตอบรับได้โดยง่าย พ.ศ. …. 2.ประกาศ เรื่อง
ขั้นตอนการแจ้งเตือนการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์
พ.ศ. …. 3.ประกาศ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเปรียบเทียบ ตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. …. 4. ประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์
ระยะเวลา และวิธีการปฏิบัติสำหรับการระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บริการ
พ.ศ. …. 5.ประกาศ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ….

               7.
ในประเด็นเรื่องต่อไปถ้าเน็ตล่มคือล่มทั้งประเทศหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงคือประเทศไทยเปิดเสรีในการให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมและมีผู้ให้บริการเกตเวย์และอินเทอร์เน็ตหลายราย
จึงมีโอกาสน้อยมากที่ผู้ให้บริการทุกรายจะไม่สามารถให้บริการได้พร้อมกัน อนึ่งความสามารถในการให้บริการอย่างต่อเนื่องขึ้นอยู่กับรูปแบบสถาปัตยกรรมระบบปริมาณข้อมูลที่จะส่งผ่านระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต้นทางและปลายทาง
และความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นการเตรียมพร้อมมีระบบเครือข่ายสำรอง
(
Redundancy
network)

               8.สำหรับการเข้าถึงเว็บไซต์ของต่างประเทศนั้นยังคงมีความรวดเร็ว
และความสามารถในการเข้าถึงได้เหมือนเดิม เนื่องจากพ.ร.บ.คอมฯไม่ได้ลดจำนวนช่องทางการใช้อินเทอร์เน็ตต่างประเทศ
ซึ่งการสื่อสารยังต้องผ่านผู้ให้บริการเกตเวย์ต่างประเทศกว่า ๑๐
รายที่ได้รับอนุญาตจากกสทช. เชื่อมต่อประเทศไทยกับต่างประเทศผ่านเคเบิ้ลใต้น้ำ หรือเคเบิ้ลบนบกหลายเส้นทาง
เช่น เส้นทาง
AAG (Asia-America-Gateway), SEA-ME-WE 4 ( South
East Asia – Middle East – Western Europe 4), SEA-ME-WE 3 ( South East Asia – Middle East– Western Europe 3),
TIS (Thailand-Indonesia-Singapore), FLAG (Fiber Optic Link Around theGlobe),
APCN 2 (Asia Pacific Cable Network 2),
Japan-USA เป็นต้น

               9.
การปรับปรุงกฎหมายในครั้งนี้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
กฎหมายที่ปรับแล้วมีความชัดเจนขึ้นกว่าเดิมเป็นการแก้ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายเดิม
เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม
และลดความไม่เป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ให้บริการ

               10.
พ.ร.บ.คอมฯ ไม่ได้เปิดให้รัฐสอดแนมข้อมูลประชาชนได้ ซึ่งความเข้าใจดังกล่าว ถือเป็นการเข้าใจผิดและตีความเกิดขอบเขต
โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้ให้อำนาจรัฐสอดแนมและไม่มีการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน
และการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่หลักการไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม แต่เพิ่มเติม คือ
ให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์สามารถเข้าไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายอื่นที่ไม่เชี่ยวชาญเมื่อได้รับการร้องขอเพื่อให้สังคมได้รับความยุติธรรมและเป็นคุณมากขึ้น

               11.ประเด็นเรื่องของการให้อำนาจในการปิดเว็บที่ไม่ผิดกฎหมายแต่ขัดศีลธรรม
ปิดกั้นสิทธิประชาชน เพราะไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าขัดต่อศีลธรรมหรือความสงบนั้น การปิดเว็บตามร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นการปิดกั้นสิทธิของประชาชน
เพราะมีกลไกการสร้างสมดุลในการระงับการแพร่หลายที่สังคมรับไม่ได้
บางกรณีต้องบังข้อมูลนั้นไว้ เช่น เว็บโชว์ฆ่าตัวตาย เว็บสอนวิธีการปล้น
หรือเว็บสอนวิธีทำอาวุธ จึงต้องมีคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลฯ พิจารณาคำร้องดังกล่าว
จำนวน 9 คน โดย 6 คนมาจากภาครัฐ 3 คนมาจากเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสื่อสารมวลชน
และเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจะมีการตั้งหลายคณะให้เหมาะสมกับคำร้องแต่ละฉบับ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ผู้ให้บริการ
และประชาชนสูงสุด เมื่อตรวจสอบเรียบร้อย ต้องส่งต่อให้รัฐมนตรีเห็นชอบ
และส่งให้ศาล ดำเนินการกระบวนการพิจารณาอีกครั้ง จึงจะออกคำสั่งได้
ซึ่งศาลจะพิพากษาให้ระงับหรือลบข้อมูลเท่านั้น ส่วนอะไรที่ถือว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ศาลได้มีแนวทางการพิจารณาอยู่แล้ว ประกอบกับพิจารณาจากสิ่งที่สังคมรู้สึกรับไม่ได้

               12.
กระทรวงดิจิทัลจะผลักดัน
Thailand 4.0
ได้อย่างไรภายใต้สภาพภัยคุกคามแบบนี้ เนื่องจากในอดีตรัฐบาลได้มีนโยบายเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า
ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดี ดังนั้นทุกภาคส่วนน่าจะมาให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีมาสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศเรามากกว่าใช้เป็นเวทีโจมตีกัน
ในการสร้าง
Cyberspace ของไทยให้น่าอยู่เป็นที่ทำมาหากิน จำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ
มีคนในสังคมที่มีความเคารพซึ่งกันและกัน

               13.
สุดท้ายพ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นหลักพื้นฐานสำคัญที่สร้างระเบียบและสภาวะแวดล้อมความมั่นคงปลอดภัยในโลกไซเบอร์
ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และ
Thailand 4.0