สำหรับการเปลี่ยนผ่านประเทศในห้วงเวลานี้ ต้องร่วมมือกันโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อก้าวไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” รัฐบาลได้ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ โดยยกตัวอย่าง “โครงการทางพิเศษสายศรีรัช – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร” ที่เร่งรัดการก่อสร้างให้เร็วขึ้นจนสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในวันที่ 22 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา เร็วกว่าแผนงานเดิมถึง 4 เดือน ขณะที่การเชื่อมต่อ 1 สถานีระหว่างสถานีบางซื่อสายสีน้ำเงิน กับสถานีเตาปูนสายสีม่วง ก็ขอความร่วมมือผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้เร่งรัดทุกขั้นตอนให้เสร็จโดยเร็ว โดยคำนึงถึงความสะดวกของประชาชนและผลประโยชน์ของรัฐเป็นที่ตั้ง รวมถึงทุกโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟทางคู่ –รถไฟฟ้า – รถไฟความเร็วสูง – ทางด่วน – ท่าเรือ – ท่าอากาศยาน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในทุกมิติ
นายกฯยังกล่าวถึงการลงพื้นที่จ.ร้อยเอ็ด โดยมีโอกาสร่วมประชุมรับทราบ “ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดร้อยเอ็ด” ตามนโยบายรัฐบาล“ไทยแลนด์ 4.0” ส่งเสริมพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของท้องถิ่นเช่น ข้าวให้ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชีทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อส่งออกไปขายใน EU รวมถึงพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดให้เป็น “Package” เชื่อมโยงกันทุกจังหวัด
สำหรับการนำพาประเทศไทยให้หลุดออกจากคำว่า “กับดักรายได้ปานกลาง” นั้นนายกฯกล่าวว่าต้องใช้ “นวัตกรรม” มาเพิ่มมูลค่าเช่นการทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นโดยที่กลไกตลาดโลกต่ำ ซึ่งต้องใช้งานวิจัยมาขับเคลื่อนสู่การผลิต การสร้างแบรนด์ใหม่ควบคู่ไปกับการสร้างคนดี คนเก่ง ฉลาด มีคุณค่า มีคุณธรรม ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การค้า การลงทุน สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี ซึ่งเป็นห่วงโซ่เดียวกันทั้งหมด โดยมี “บริษัทประชารัฐ”ซึ่งเป็นองค์กรที่มีจริยธรรมมาเชื่อมรอยต่อเหล่านี้ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อย่าหวาดระแวงกันหรือสร้างเงื่อนไข มองให้กว้าง มองให้ลึก แล้วแก้ปัญหาให้เป็นระบบ ทั้ง 70 ล้านของคนไทยทั้งหมดเชื่อมไปสู่ 250 ล้านคนใน CLMV เลยไปถึง 600 ล้านคนในอาเซียน แล้วมองไปใน 7,500 ล้านคนทั้งโลก
นายกฯยังกล่าวว่าการสร้างชาติต้องเริ่มจาก “การสร้างคน” ต้องแข็งแรงไปด้วยกัน เป็น “แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง” ซึ่งการศึกษาเป็นปัจจัยหลัก ถ้าผู้เรียนขาดทักษะในการทำงาน ผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิตของประเทศ ไม่รองรับโลกในศตวรรษที่ 21ไทยแลนด์ 4.0 ก็จะทำให้เกิดการเสียสมดุลด้านแรงงาน ขาดแรงขับเคลื่อนประเทศ รัฐบาลนี้จึงเดินหน้า “ปฏิรูปการศึกษา” ใน 3 มิติ คือ (1) โครงสร้างหน่วยงานและงบประมาณ (2) การบริหารทรัพยากรบุคคล แก้ปัญหาครูเกิน-ครูขาด ครูสอนไม่ตรงสาขา (3) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่นอินเทอร์เน็ต – ดาวเทียมเพื่อการศึกษา เข้าถึงทุกโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อให้การศึกษาของไทย มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล
เรื่องการจัดงาน “OTOP ประชารัฐ” ตามนโยบายรัฐบาลในงาน “ศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี” ครั้งที่ 5 ณ อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ มีการตอบรับจากพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง มีคนเข้ามาชมงานกว่า 4.4 แสนคน มีผู้ประกอบการนำสินค้า OTOP มาขายในงานกว่า 2,500 บูธ ยอดจำหน่ายราว 840 ล้านบาทถือว่าทะลุเป้า และในเดือนสิงหาคมนี้กระทรวงยุติธรรมซึ่งรับผิดชอบดำเนินการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม โดยใช้ชื่อว่า“รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม” เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มียอดผู้เข้าชมงานเกือบ 6 หมื่นคน รวมขายสินค้าได้ประมาณ 13 ล้านบาทถือว่าสูงสุดในตลาดเดือนนี้ รัฐบาลวางแผนยกระดับสินค้า OTOP ประชารัฐไปสู่ OTOP ติดดาว / OTOP แห่งอนาคต /OTOP Premium และ OTOP Go Inter
นายกฯยังกล่าวย้ำในเรื่องสำคัญเพื่อทำความเข้าใจว่า อย่ากลัวว่ารัฐบาล/คสช./สนช.หรือที่เกี่ยวข้อง 5 สายจะไปเช็คบิลอะไรกับใคร พรรคไหน นักการเมืองใคร ไม่ต้องการไปสลายใคร สืบทอดอำนาจจากใครทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเรื่องของการนำสิ่งที่เป็นปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่ และไม่ได้นำเข้ามาสู่การพิจารณาในกระบวนการยุติธรรมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาตามข้อเท็จจริง ตามกระบวนการ ไม่มีการแทรกแซง มีแต่สนับสนุนให้เกิดความอิสระและโปร่งใส การแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินหลายๆที่ ไม่ได้มุ่งหวังไปทำลายทำร้ายใคร ดำเนินการไปตามกฎหมาย
ประเด็นสุดท้าย นายกฯได้แสดงความยินดีกับ“พ่อเมือง”สุโขทัยที่ใช้ความรู้ทางภูมิศาสตร์ ประสานความร่วมมือ “ประชารัฐ” แก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้เป็นผลที่น่าพอใจ และแสดงความยินดีกับกลุ่มเยาวชนไทย ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยได้รับรางวัลชนะเลิศจากเวทีการแข่งขันทางศิลปวัฒนธรรมระดับโลก รวมถึงคณะนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย จำนวน 46 คน ในการแข่งขันกีฬา “พาราลิมปิก เกมส์” ครั้งที่ 15 ณ ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 7 – 18 กันยายนนี้