ทั้งนี้การดำเนินโครงการในระยะแรกเป็นการติดตั้งระบบอัจฉริยะเพื่อการติดตามดูแลสุขภาพ โดยมุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงคุณภาพการดูแลประชากรสูงอายุที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี จาก เดลล์ ,อินเทล และศูนย์นวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ ถือว่าเป็นโครงการดูแลสุขภาพด้วยระบบอัจฉริยะ หรือ “สมาร์ท เฮลธ์แคร์” โครงการแรกที่มีการติดตั้งใช้งานจริงในประเทศไทย
ต่อมาเพื่อการดูแลผู้สูงอายุให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงได้เกิดโครงการนำร่องขึ้นในเดือนมกราคม 2559 โดยมุ่งเป้าไปที่ 140 ครัวเรือนที่มีสมาชิกครอบครัวเป็นผู้สูงอายุ เพื่อการตรวจตราดูแลคนไข้พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึก ซึ่งช่วยให้การทำงานด้านการบริการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยใช้แอพพลิเคชัน IOT (Internet of Things) ช่วยด้านการตรวจดูสุขภาพ การแจ้งเตือนฉุกเฉิน ตรวจจับสภาพแวดล้อม สอดส่องที่พักอาศัยและติดตามดูแลเพื่อความปลอดภัย
ในส่วนของระบบดูแลสุขภาพแบบอัจฉริยะ (Smart Healthcare) สำหรับผู้สูงอายุ เป็นลักษณะของเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม เนื่องจากสามารถระบุจุดเกิดเหตุ และเวลาที่เกิดขึ้นได้ หรือต้องดูแลทางการแพทย์ต่อด้วยวิธีใด ปัจจุบัน โครงการนำร่องนี้ ช่วยให้พยาบาลสามารถดูแลสอดส่องสุขภาพของคนไข้สูงอายุได้จากระยะไกลผ่านระบบคลาวด์ และระบบวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการเชื่อมต่อบลูทูธ
ด้านลักษณะของการแจ้งเหตุนั้น จะเกิดขึ้นจากอุปกรณ์อัจฉริยะขนาดเล็กที่รับส่งสัญญาณบลูทูธ เช่น กำไลสวมข้อมือหรือสร้อยคอ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวจะทำการสอดส่องจำนวนก้าว การเคลื่อนไหว ระยะทางในการเดิน และรูปแบบการนอนหลับ อีกทั้งสามารถแจ้งเตือนมายังผู้ดูแลในศูนย์ดูแลสุขภาพเมื่อระบบตรวจจับกิจกรรมที่ไม่ปกติ เช่น การลื่นหกล้ม หรือมีการกดปุ่มฉุกเฉินขึ้น
ขณะเดียวกันระบบจะทำการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ที่อุปกรณ์อัจฉริยะทำการบันทึกเก็บไว้ทุกวัน ผ่าน Dell IoT Gateway โดยใช้เทคโนโลยีอินเทล ซึ่งจะติดตั้งไว้ที่บ้านพักของผู้ป่วย และสถานพยาบาล เพื่อช่วยในการส่งข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องไปยังไพรเวทคลาวด์ของเดลล์ และส่งต่อไปยังสถานพยาบาลในเขตเทศบาล ซึ่งมีการแสดงข้อมูลอัพเดททั้งเมืองในแบบเรียลไทม์ พร้อมจัดเก็บข้อมูลไว้บนระบบ Converged System ของ Dell PowerEdge VRTX
ดังนั้นโครงการนำร่องนี้ จะเป็นการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีใหม่สามารถหลอมรวมเข้ากับวิถีชีวิตของผู้ที่พักอาศัยในชุมชมได้อย่างกลมกลืน โดยให้ประโยชน์แก่ทั้งเมืองและชุมชน และจะกลายเป็นต้นแบบในอุดมคติสำหรับโปรแกรม สมาร์ท ซิตี้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ เทศบาลเมืองแสนสุข แต่ยังรวมถึง สมาร์ท ซิตี้ อื่นๆในประเทศไทย อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ผศ. อภิเนตร อูนากูล ที่ปรึกษาคณะกรรมการศูนย์นวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ กล่าวถึงโครงการดังกล่าวว่า โครงการนี้จะเป็นใบเบิกทาไปสู่การนำ IOT มาให้ครอบคลุมหลากหลายในทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตสำหรับทั้งผู้พักอาศัยในชุมชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นย่างก้าวครั้งสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของการเปลี่ยนประเทศไทยเป็น “Smart Nation” หรือ “ประเทศอัจฉริยะ” ตามที่รัฐบาลได้ตั้งวิสัยทัศน์การก้าวสู่เป้าหมายในการพัฒนาสู่ความเป็นประเทศดิจิทัล (Digital Thailand)
