รัฐอัดฉีดสินเชื่อกว่า 9 หมื่นล.อุ้มเกษตร

รัฐอัดฉีดสินเชื่อกว่า 9 หมื่นล.อุ้มเกษตร


ความจริงมาตรการดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ในงานประชุมเชิงปฏิบัติการและเปิดปฏิบัติการโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้ในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง
แนวทางพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐโดยระบุว่าในการประชุมครม.วันที่
23 ก.พ.นี้กระทรวงคลังจะเสนอโครงการที่เน้นการปฏิรูปภาคการเกษตรเป็นการปรับโครงสร้างการผลิตของเกษตรกรไทย
โดยธ.ก.ส.จะเสนอปล่อยสินเชื่อให้กับเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการในวงเงินจำนวน
15,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะมีโครงการยกระดับการผลิต ,
การแปรรูป, การเพิ่มมูลค่า, การบริหารจัดการของเกษตรกรเพื่อให้เป็นผู้ประกอบการโดยจะใช้วงเงินจำนวนทั้งสิ้น
60,000-70,000 ล้านบาท

             เรียกว่าเป็นมาตรการสำคัญที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะการผุดมาตรการดังกล่าวออกมาในภาวะที่วิกฤติภัยแล้งกำลังลุกลามอย่างหนัก
ภาคเกษตรกรถือเป็นภาคที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ดังนั้นมาตรการต่าง ๆที่ออกมาจึงถูกมองว่ามาได้ถูกจังหวะและโอกาส ดังนั้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบในมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาภัยแล้ง
และมาตรการเพิ่มขีดความสามารถทางการเกษตรที่กระทรวงการคลังเป็นผู้เสนอ โดยรายละเอียดโครงการต่าง
ๆมีดังนี้

                ประการแรก
โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจำเป็นของเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง ปี
2558/2559 วงเงินรวมทั้งสิ้น 6,000 ล้านบาท โดยจะให้สินเชื่อไม่เกิน 12,000
บาทต่อราย กำหนดชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 12 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0
ต่อปีระยะเวลา 6 เดือนแรก จากนั้นตั้งแต่เดือนที่ 7 – 12 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4
ต่อปี ทั้งนี้สำหรับเกษตรกรลูกค้ารายย่อยของธ.ก.ส.
ที่ปัจจุบันมีวงเงินกู้ต่อรายรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งมีอยู่จำนวน 500,000
ราย ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งทำให้ไม่สามารถทำการผลิตได้หรือผลผลิตได้รับความเสียหาย
ทำให้มีรายได้ลดลงกว่าร้อยละ 50 จากรายได้ปกติ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
พร้อมทั้งก่อให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและช่วยป้องกันการก่อหนี้สินนอกระบบของเกษตรกร

ประการที่สอง
โครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1
SME เกษตรเพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย
วงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 72,000 ล้านบาท
เพื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (
SMEs) ภาคการเกษตร
ประกอบด้วยผู้ประกอบการรายคน วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร หรือบริษัทชุมชน จำนวน
7,200 ราย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร และกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน
(ประมาณการจ้างงานได้ 5 – 30 คนต่อกิจการ) โดยธ.ก.ส. กำหนดให้สินเชื่อระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน
10 ปี ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 7 ปี และปีที่ 8 – 10 จะคิดอัตราดอกเบี้ยปกติตามชั้นลูกค้า
ทั้งนี้วงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย

                และประการสุดท้าย
โครงการชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตสู้วิกฤติภัยแล้ง วงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 15,000
ล้านบาท สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ประสบวิกฤติภัยแล้งในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง จำนวน 26 จังหวัด จำนวน 100,000 ราย
ที่มีความสมัครใจและตั้งใจในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตอย่างแท้จริงและผ่านการคัดเลือกจากชุมชน
(ชุมชนได้แก่ กลุ่มลูกค้า ธ.ก.ส. กลุ่มอาชีพ
หรือวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพและอยู่ในพื้นที่ประสบวิกฤติภัยแล้งในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง จำนวน 26 จังหวัด) ใช้เป็นค่าเช่าที่ดิน
ค่าปัจจัยการผลิต และค่าจ้างแรงงานให้กับเกษตรกร โดยกำหนดวงเงินกู้กลุ่มละไม่เกิน
3 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี กำหนดชำระการคืนเงินกู้ไม่เกิน 12
เดือน

                และนี่คืออีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่รัฐบาลภายใต้การนำของ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบในการให้ความช่วยเหลือต่อภาคเกษตรซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจฐานราก
ในภาวะที่วิกฤติภัยแล้งกำลังลุกลามอย่างหนัก ท่ามกลางความท้าทายของรัฐบาลที่มองว่า
วิกฤติในครั้งนี้จะเป็นโอกาสของประเทศในการสร้างความเข้มแข็งต่อเศรษฐกิจฐานรากเพื่อความมั่งคั่งและยั่งยืนของประเทศ