อุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 488 พันล้านดอลลาร์ และมีส่วนช่วยสร้าง GDP และมิติทางเศรษฐกิจมากมาย แม้ว่าอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การผลิตและการบริโภคก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมายเช่นกัน โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่สวยหรูของเครื่องสำอาง และสกินแคร์ สร้างขยะและก๊าซคาร์บอนฯ จำนวนมหาศาล มาดูว่าจะมีวิธีเปลี่ยนขยะเหล่านี้ให้มีคุณค่า สวยแบบไม่ทำร้ายโลกได้อย่างไร?
‘อุตสาหกรรมความงาม’ ปล่อยคาร์บอน – สร้างขยะเท่าไหร่?
รู้หรือไม่ว่า? ผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเครื่องสำอางที่เราใช้ในชีวิตประจำวันกว่า 70% กลายเป็นขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้และต้องนำไปฝังกลบ โดยเฉลี่ยแล้วมนุษย์แต่ละคนสร้างขยะประมาณ 1.14 กิโลกรัมต่อวัน องค์กร Zero Waste รายงานว่าในแต่ละปี อุตสาหกรรมความงามสร้างขยะมากกว่า 1.2 ล้านชิ้น และ 95% ของขยะเหล่านี้เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้
ด้วยความตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงเกิดเทรนด์ความงามยั่งยืน หรือ Sustainability Beauty ที่ให้ความสำคัญกับการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ การพัฒนานวัตกรรมการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติที่ลดการใช้สารเคมีให้น้อยที่สุด เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวพรรณและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
งานวิจัยพบว่าการใช้ผลิตภัณฑ์แบบเติม (Refill) และผลิตภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 70% ส่งผลให้แบรนด์ความงามต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การปลูกต้นไม้ทดแทน นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียวที่นอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีก
ทั่วโลกตั้งเป้าลดมลพิษจากไมโครพลาสติกลง 30% ภายในปี 2573
ทั่วโลกกำลังเข้มงวดกับการควบคุมไมโครพลาสติกในผลิตภัณฑ์ความงามมากขึ้น เนื่องจากตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่มีการใช้ไมโครพลาสติกในหลายรูปแบบ ทั้งเม็ดขัดผิว (ไมโครบีดส์) และส่วนผสมที่ช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัส กลิ่น และสีของผลิตภัณฑ์
สหภาพยุโรปได้ออกมาตรการควบคุมผ่านกฎระเบียบ REACH โดยห้ามการใช้อนุภาคโพลีเมอร์สังเคราะห์ที่มีขนาดต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำและย่อยสลายยาก มาตรการนี้คาดว่าจะช่วยลดการรั่วไหลของไมโครพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อมได้ถึงครึ่งล้านตัน และตั้งเป้าลดมลพิษจากไมโครพลาสติกลง 30% ภายในปี 2573
ขณะที่ประเทศจีน ได้ออกมาตรการควบคุมที่เข้มงวดไม่แพ้กัน โดยได้ประกาศห้ามผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีไมโครบีดพลาสติกตั้งแต่ปลายปี 2563 และห้ามจำหน่ายตั้งแต่สิ้นปี 2565 นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางที่ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น โดยกำหนดให้บรรจุภัณฑ์ต้องมีไม่เกิน 3 ชั้น และต้องมีช่องว่างภายในน้อยกว่า 50% ของปริมาตรทั้งหมด มาตรการนี้จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566
มาตรการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามระดับโลกในการแก้ปัญหามลพิษจากไมโครพลาสติก ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมความงามต้องปรับตัวครั้งใหญ่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การปรับตัวสู่ความงามสีเขียว (Green Beauty)
อุตสาหกรรมความงามกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตและการบริโภค
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมความงาม
อุตสาหกรรมความงามส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน
1. การใช้สารเคมีจากปิโตรเคมี
• กระบวนการผลิตต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
• มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์และคาร์บอนมอนอกไซด์
• กระบวนการผลิตใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
2. ปัญหาพลาสติก
• บรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่ทำจากพลาสติกที่ย่อยสลายยาก
• มีการใช้ไมโครบีดส์ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ซึ่งเมื่อถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล
• พลาสติกขนาดเล็กเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและปะการัง
สิ่งเหล่านี้ ทำให้หลายๆ แบรนด์ หันมาให้ความสำคัญกับ ‘Green Beauty’ เพราะนอกจากจะช่วยโลก ลดปริมาณขยะและก๊าซเรือนกระจกแล้ว ส่วนผสมจากธรรมชาติที่นำมาเป็นส่วนประกอบหลักแทนสารเคมีบางตัว ยังช่วยลดการระคายเคือง สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย และบอบบางด้วย
แบรนด์ความงามระดับโลก มุ่งสู่แนวทาง ESG
วันนี้ แบรนด์ความงามหลายแบรนด์ ทั้งสกินแคร์ เมคอัพ ไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยแต่ละแบรนด์ใส่ใจตั้งแต่การเลือกเฟ้นวัตถุดิบ ส่วนผสมที่ไม่มีสารเคมีอันตราย และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อีกทั้งหันมาใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นในประเทศมากขึ้น เพื่อช่วยลด Carbon Footprint ที่เกิดจากการขนส่ง รวมถึงการเลือกใช้พลาสติกรีไซเคิล PCR (Post Consumer Recycled) มาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ (Packing) ที่รีไซเคิลหรือย่อยสลายเองได้ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สะอาดขึ้น โดยใช้พลังงานจากลมและแสงแดดแทน
ทั้งนี้ จากข้อมูลจาก Mintel องค์กรสำรวจเทรนด์ทั่วโลก สรุปกระแสความงามแบบรักษ์โลกว่า พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภควัยมิลเลนเนียล จะคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พวกเขาปรารถนาที่จะทำให้โลกดีขึ้น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และมีแนวโน้มสนับสนุนแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โปร่งใส มีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจมากกว่า
ขอยกตัวอย่าง แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ที่ปรับตัวรับความยั่งยืน
Dior
• พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้ถึง 83% โดยใช้แก้วและกระดาษแข็งรีไซเคิล
• เปลี่ยนจากการใช้สีทองเมทัลลิคมาเป็นหมึกออร์แกนิกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
• นำเทคโนโลยี QR Code มาใช้แทนแผ่นพับกระดาษเพื่อลดการใช้ทรัพยากร
The Body Shop
• เปิดให้บริการ Refill Station เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำภาชนะมาเติมผลิตภัณฑ์ซ้ำได้
• ใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล
• พัฒนานวัตกรรมมาสก์หน้าที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
Yves Rocher
• เน้นการผลิตสินค้าแบบรีฟิลเพื่อลดการใช้พลาสติก
• สามารถลดการใช้พลาสติกได้ถึง 77% เมื่อเทียบกับการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่
พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอย่างชัดเจน
• ให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
• ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่มีความโปร่งใสและดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม
• ศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ
• สนใจผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
แนวทางการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์รักษ์โลก
ผู้บริโภคอย่างเรา เลือกซื้อความงามแบบไม่ทำร้ายโลก ได้อย่างไร?
1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น Green Product
• ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ปราศจากสารพิษ
• มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
• ใช้บรรจุภัณฑ์น้อยที่สุดและสามารถรีไซเคิลได้
2. เลือก Organic Makeup
• ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100%
• ควบคุมคุณภาพตั้งแต่การปลูก เก็บเกี่ยว และสกัดสาร
• ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีอันตราย
3. เลือกผลิตภัณฑ์แบบรีฟิล
• สามารถเติมผลิตภัณฑ์ซ้ำในบรรจุภัณฑ์เดิม
• ช่วยลดปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์
• ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
4. สังเกตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
• ทำจากพลาสติก PCR (Post-consumer Recycled)
• สามารถย่อยสลายได้ 100%
• ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น เศษผัก ผลไม้ หรือกากกาแฟ
การเลือกซื้อเครื่องสำอางรักษ์โลกไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้และเป็นการสนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ที่สำคัญ ควรศึกษาฉลากต่างๆ ที่ช่วยรับรองว่าผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะได้เก็บเป็นข้อมูลเวลาเลือกซื้อ และอย่าลืมสนับสนุนแบรนด์ที่ทำดี จะได้เป็นกำลังใจให้ผู้ผลิตด้วย เรียกว่า “สวยแล้ว ต้องไม่ทำร้ายโลกด้วย”
อ้างอิง
สำนักงานที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมในต่างประเทศ ประจำกรุงเวียนนา
https://shorturl.asia/GZI82
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู
https://oldweb.ditp.go.th/ditp_web61/article_sub_view.php?filename=contents_attach/779921/779921.pdf&title=779921&cate=592&d=0
https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2719293
https://www.posttoday.com/post-next/be-greener/690797
https://www.springnews.co.th/blogs/keep-the-world/829268
แบรนด์ความงามปรับตัวอย่างไรเพื่อช่วยรักษ์โลก และคุณก็ทำได้เช่นกัน
https://www.nationtv.tv/gogeen/378906699
https://sistacafe.com/summaries/92022