กรมลดโลกร้อน เผย ประเทศไทยถอยห่างจากจุดเสี่ยงภัยพิบัติระดับโลก หลังดัชนี CRI 2025 จัดอันดับให้ไทยอยู่ที่ 30 ลดลงจากอันดับ 9 เมื่อ 4 ปีก่อน แม้เป็นสัญญาณที่ดี แต่ยังต้องเตรียมรับมือภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มถี่และรุนแรงขึ้น ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อนที่ทวีความรุนแรง
ไทยหลุดเสี่ยงสูง “ภัยพิบัติโลกร้อน” จากอันดับ 9 เป็น 30
ในขณะที่ค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว ที่ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงระยะเวลา 30 ปี (2536-2565) พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับ 30 แสดงถึงผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วของไทยในระยะยาว ลดลงเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับ 9
ทำไมไทยถึงพ้นโซนอันตราย?
การที่อันดับของไทยดีขึ้นมาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ
- ประเทศอื่น ๆ ประสบภัยพิบัติรุนแรงกว่า โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
- ไทยมีการบริหารจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมีระบบเตือนภัยที่แม่นยำขึ้น
10 ประเทศเสี่ยงภัยสูงสุดในรอบ 30 ปี
จากการจัดอันดับในช่วงปี 1993-2022 พบประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด ได้แก่
- โดมินิกา : เผชิญพายุเฮอร์ริเคนรุนแรง
- จีน : ประสบน้ำท่วม ไต้ฝุ่น คลื่นความร้อน
- ฮอนดูรัส : เจอพายุเฮอร์ริเคนบ่อยครั้ง
- เมียนมา : รับมือไซโคลนและน้ำท่วม
- อิตาลี : เผชิญน้ำท่วมและคลื่นความร้อน
- อินเดีย : มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น คลื่นความร้อน ไซโคลน และน้ำท่วม ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 80,000 คน
- กรีซ : เผชิญกับไฟป่าและคลื่นความร้อน
- สเปน : คลื่นความร้อนและน้ำท่วม
- วานูอาตู : รับผลกระทบจากพายุไซโคลนและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น
- ฟิลิปปินส์ : เผชิญกับพายุโซนร้อนหลายครั้งต่อปี
10 ประเทศรับผลกระทบมากที่สุดในปี 2022
รายงานฉบับนี้ ระบุว่า ในปี 2022 ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง 10 อันดับ ได้แก่
- ปากีสถาน
- เบลีซ
- อิตาลี
- กรีซ
- สเปน
- เปอร์โตริโก
- สหรัฐอเมริกา
- ไนจีเรีย
- โปรตุเกส
- บัลแกเรีย
ความเสียหายทั่วโลกในรอบ 30 ปี
ผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรง
- ผู้เสียชีวิต: มากกว่า 765,000 คน
- ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: 4.2 ล้านล้านดอลลาร์
- จำนวนเหตุการณ์: กว่า 9,400 ครั้ง
ไทยต้องเตรียมรับมืออะไรบ้าง?
แม้อันดับจะดีขึ้น แต่ไทยยังต้องเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น
- อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในฤดูร้อน
- ภัยแล้งรุนแรง
- ฝนตกหนักผิดปกติ เสี่ยงน้ำท่วมและดินถล่ม
แนวทางรับมือในอนาคต
ดร.พิรุณ แนะนำการเตรียมความพร้อม
- พัฒนาระบบเตือนภัยให้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ปรับปรุงการสื่อสารให้ถึงประชาชนทันท่วงที
- เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก
ไทยบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเทศไทยมีค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศรายปีอยู่ในอันดับที่ 72 แสดงถึงผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วของไทยลดลง เมื่อเทียบกับปี 2019 ที่อยู่ในอันดับ 34
ในขณะที่ค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว ที่ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงระยะเวลา 30 ปี (1993-2022) พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 30 แสดงถึงผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วของไทยในระยะยาว ลดลงเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 9 โดยขณะนั้นเป็นการประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงระยะเวลา 20 ปี (2000-2019)
ดร.พิรุณ กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ติดอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงแล้ว แต่ประเทศไทยจะยังคงเผชิญกับผลกระทบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น อุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงฤดูร้อน ภัยแล้ง ปริมาณฝนที่ตกหนักผิดปกติ จนส่งผลให้เกิดน้ำท่วม ดินถล่ม เป็นต้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเตรียมความพร้อมรับมือและการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพระบบเตือนภัยล่วงหน้า ให้มีความแม่นยำ การสื่อสารที่เข้าถึงประชาชนอย่างทันท่วงที การพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยลดอุณหภูมิโลก เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยและคนไทยมีภูมิคุ้มกันต่อภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ท่ามกลางภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
อ้างอิง
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
https://thainews.prd.go.th/thainews/news/view/919571/?bid=1