“โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐ ประกาศวันปลดปล่อยอเมริกา ยุติการค้าที่ไม่เป็นธรรม ดีเดย์ปรับขึ้นภาษีนำเข้าพื้นฐาน(Baseline Tariff) ในอัตรา 10% จากทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ ซึ่งจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 37% ด้าน “พาณิชย์” เปิดลิสต์ 15 สินค้าเสี่ยงกระทบหนัก คาดเสียหายสูง 1 ล้านล้านบาท มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ 5 เมษายนนี้ อุตสาหกรรมไหนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด และรัฐบาลไทยควรแก้ปัญหาอย่างไร
เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า นี่คือ “วันประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจของอเมริกา” ยุติการค้าที่ไม่เป็นธรรม ดีเดย์ปรับขึ้นภาษีนำเข้า พร้อมระบุว่า “ภาษีแบบตอบโต้” (reciprocal tariffs) จะเริ่มต้นที่อัตรา 10% แต่จะมี 60 ประเทศ ที่ถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่านี้ โดยอาจสูงถึง 50% โดยภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ 5 เมษายน และจะเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Trade and Tariff) กับสินค้านำเข้าจากประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้า ซึ่งรวมถึงไทยที่ล่าสุดจะถูกเก็บภาษีที่ 37% ในทุกสินค้า มีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 โดยสหรัฐมุ่งหวังการปรับขึ้นภาษีครั้งนี้ จะทำให้มีประเทศมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประกาศดังกล่าวสร้างความตกตะลึง และมึนงงให้กับภาครัฐและผู้ส่งออกของไทย เพราะเดิมทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้ากับประเทศในอัตรา 10-25% ซึ่งการปรับขึ้นภาษีครั้งนี้สูงจากที่ประกาศไว้ถึง 3 เท่าตัว หลายประเทศที่เป็นคู่ค้า และพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐ ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส รวมถึงหลายประเทศในสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศที่จะเจรจาต่อรอง รวมถึงจะใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐ
ทรัมป์ ขึ้นภาษีประเทศไหนบ้าง ?
“ภาษีแบบตอบโต้” (Reciprocal Tariff) ที่ทรัมป์ประกาศออกมาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ
1.Baseline Tariff
Baseline Tariffs เป็นภาษีศุลกากรพื้นฐานสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดมายังสหรัฐฯ โดยผู้ที่นำสินค้าต่างประเทศเข้ามาในสหรัฐฯ จะเป็นผู้ที่ต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล มีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน เป็นต้นไป
2.Worst Offenders Tariffs
ภาษีศุลกากรเฉพาะสำหรับ ‘กลุ่มประเทศที่ถูกมองว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่สุด’ (worst offenders) โดยเป็นภาษีที่มีอัตราเรียกเก็บไม่เท่ากันตามแต่ละประเทศ ซึ่ง ‘ไทย’ ก็อยู่ในกลุ่มนี้ที่โดนเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36%
ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม Worst Offenders เรียดเก็บภาษีศุลกากรที่สูงกว่าสำหรับสินค้าสหรัฐฯ หรือมีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) ต่อการค้าสหรัฐฯ หรือได้กระทำการในลักษณะอื่นใดที่ทำให้สหรัฐฯ รู้สึกว่าเป็นการบ่อนทำลายเป้าหมายทางเศรษฐกิจของอเมริกา โดยคู่ค้าสำคัญที่ต้องเผชิญกับอัตราภาษีในลักษณะดังกล่าวได้แก่
- สหภาพยุโรป (EU): 20%
- จีน: 54%
- เวียดนาม: 46%
- ไทย: *36% (ถูกปรับเป็น 37% หลังจากประกาศ)
- ญี่ปุ่น: 24%
- กัมพูชา: 49%
- แอฟริกาใต้: 30%
- ไต้หวัน: 32%
ทำไมไทยถึงโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้า 37% ?
สาเหตุที่แน่ชัดเบื้องหลังกำแพงภาษี 37% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ ยังไม่เป็นที่เปิดเผย อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ โดย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ให้ข้อมูลกับฐานเศรษฐกิจว่า อาจเป็นการตอบโต้ทางภาษีที่สหรัฐฯ มีต่อไทย จากกรณีที่ไทยเคยเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ถึง 72%
หากมองอีกมุมหนึ่ง การตั้งอัตราภาษีที่สูงลิ่ว ก็อาจเป็นเครื่องมือต่อรองเชิงกลยุทธ์ เพื่อเปิดทางให้สหรัฐฯ สามารถเจรจาประเด็นดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าได้
อีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจ และอาจให้คำตอบของตัวเลข 36% ในตอนแรก ได้มาจาก ดร. พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตผ่านโซเชียลมีเดียว่า อัตราภาษีที่ทรัมป์กำหนดอาจไม่ได้คำนวณจากปัจจัยซับซ้อนอย่าง ช่องว่างอัตราภาษี (tariff gap) การกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) หรือการแทรกแซงค่าเงิน (currency manipulation) อย่างที่หลายคนพยายามวิเคราะห์
แต่ ดร. พิพัฒน์ ชี้ว่า ตัวเลขอัตราภาษีอาจคำนวณจากสูตรง่ายๆ คือ การนำตัวเลขการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ มีต่อประเทศนั้นๆ (Trade Deficit) มาหารด้วยมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดจากประเทศนั้น (Imports) แล้วคูณด้วย 0.5 (หรือ 50%)
เมื่อแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์จะได้ประมาณ 36.35% ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราภาษี 36% ที่ทรัมป์ประกาศใช้กับไทยอย่างมาก และใกล้เคียงกับที่ประกาศใช้กับประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่ม Worst Offenders ด้วย
ความหมายของมุมมองนี้คือ การกำหนดนโยบายภาษีอาจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงลึกด้านนโยบายการค้าเสมอไป แต่อาจเป็นเพียงการใช้สูตรคำนวณเชิงกลไกที่อิงจากตัวเลขทางสถิติการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการขาดดุลการค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ทรัมป์ให้ความสำคัญมาโดยตลอด
อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจมาจาก KKP Research ที่เคยคาดการณ์ว่าไทยน่าจะตกเป็นเป้าสายตาต่อการขึ้นภาษีรอบนี้ โดยมี 3 ปัจจัยหลักคือ
- การเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ของอาเซียน
กลุ่มประเทศอาเซียนมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นรองเพียงแค่จีนเท่านั้น ประเทศในกลุ่มอาเซียนจึงมีความเป็นไปได้ที่จะต้องเจอกับมาตรการกีดกันการส่งออกจากสหรัฐฯ ซึ่งแม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด แต่สหรัฐฯ อาจมองเหมารวมไทย และประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเป็นกลุ่มเดียวกัน
- ไทยมีสินค้าที่ ‘จีน’ ใช้เป็นฐานผลิตส่งออกไปสหรัฐฯ
KKP Research ตั้งข้อสงสัยว่า กิจกรรมการค้าบางส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคือ การหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ ของจีน โดยใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ แผงโซล่า ที่มีปริมาณนำเข้าจากจีนมาไทยใกล้เคียงกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นนี้สหรัฐฯ ทราบเป็นอย่างดี และต้องการเพิ่มมาตรการกีดกันสินค้าเหล่านี้
- ทรัมป์ อ้างรักการค้าอันเป็นธรรม
นโยบายที่ทรัมป์หาเสียงไว้คือ Reciprocal Trade Act ที่หากประเทศไหนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับสหรัฐฯ ก็จะโดนขึ้นภาษีกลับเท่ากันในสินค้าเหล่านั้น ซึ่งเป็นหลักการค้าอันเป็นธรรมตามมุมมองของทรัมป์
นอกจากนี้ ไทยอาจถูกมองว่ามีการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีในสินค้าบางกลุ่ม เช่น เนื้อวัว ที่ไทยมีการใช้มาตรการปกป้องผู้บริโภคจากสารเร่งเนื้อแดงของสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลในการขึ้นภาษีกับสินค้าไทยได้เช่นเดียวกัน
สินค้าไทยอะไรบ้างที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ?
สำนักงานนโยบาย และยุธศาสตร์การค้ากระทรวงพาณิชย์ ได้ออกรายงานถึงกลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญ 15 อันดับ ที่ไทยน่าจะได้รับผลกระทบเมื่อมีการบังคับใช้นโยบายภาษีใหม่ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 ได้แก่
- เครื่องโทรศัพท์รวมถึงสมาร์ทโฟนและเครื่องโทรศัพท์อื่น ๆ : มูลค่าการส่งออก 6,846.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : มูลค่าการส่งออก 6,093.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ยางรถยนต์ : มูลค่าการส่งออก 3,513.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ : มูลค่าการส่งออก 2,472.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- หม้อแปลงไฟฟ้า : มูลค่าการส่งออก 2,088.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของเครื่องจักร : มูลค่าการส่งออก 1,501.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของยานยนต์ : มูลค่าการส่งออก 1,404.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณและส่วนประกอบ : มูลค่าการส่งออก 1,387.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เครื่องปรับอากาศ : มูลค่าการส่งออก 1,273.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เครื่องส่งวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ : มูลค่าการส่งออก 1,107.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เครื่องพิมพ์ใช้สำหรับการพิมพ์ : มูลค่าการส่งออก 1,053.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ของปรุงแต่งชนิดที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ : มูลค่าการส่งออก 870.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- แป้น แผง คอนโซล โต๊ะ ตู้ และฐานรองอื่น ๆ (เช่น สวิตช์ ฟิวส์ เครื่องกำจัดกระแสเซอร์จ ปลั้ก กล่อง ชุมสายโทรศัพท์ : มูลค่าการส่งออก 861.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ข้าว : มูลค่าการส่งออก 797.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และอุปกรณ์ทำความเย็น : มูลค่าการส่งออก 742.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนหน้านี้ คาดว่า ถ้าสหรัฐขึ้นภาษีตอบโต้ไทย 11% จะทำให้การส่งออกไทยไปสหรัฐได้รับผลกระทบ 7,000-8,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 1 ปีถ้าไทยไม่ทำอะไรเลย
แต่ขณะนี้สูงถึง 37% ก็ประมาณ 25,000-26,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 880,000 ล้านบาท แต่ถ้าเจรจาต่อรองเป็นผลสำเร็จอาจไม่เกิดความเสียหาย หรือเสียหายลดลง ส่วนจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในภาพรวม ที่ปีนี้ตั้งเป้าหมายขยายตัว 2-3% หรือไม่นั้น ต้องคำนวณอีกครั้ง
ไทยได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ?
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกร คาดการณ์ว่า ผลกระทบต่อการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2568 อาจหดตัวที่ -10% เนื่องจากความต้องการสินค้าไทยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าที่ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิสก์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ อาหาร ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยอาจไม่สามารถปรับลดราคาสินค้าเพื่อรักษาอุปสงค์ได้มากนัก
นอกจากนี้ ไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อม ในด้านการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าจีน เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ของเล่น พลาสติก และโพลิเมอร์ เป็นต้น
รวมทั้งยังได้รับผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าในห่วงโซ่อุปทานไปยังคู่ค้า เช่น จีน อาเซียน EU ที่ส่งออกต่อไปสหรัฐฯ ลดลงเนื่องจากถูกตั้งกำแพงภาษีรอบใหม่สูงขึ้นไม่ต่างจากไทย
ทำไม ทรัมป์ ถึงใช้มาตรการภาษีศุลกากร ?
ภาษีเป็นศูนย์กลางของวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของทรัมป์ เขาเคยกล่าวว่า “คำว่าภาษีคือคำโปรดของผม”
ทรัมป์ให้เหตุผลว่า ภาษีจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ หันมาซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้รัฐมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น
เขายังต้องการลด “ดุลการค้า” หรือ ช่องว่างระหว่างมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าและส่งออก ให้แคบลง ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2024 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 2.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งทรัมป์เรียกว่า “เป็นความเลวร้าย”
ทรัมป์ยังกล่าวว่า มาตรการภาษีมีจุดประสงค์เพื่อกดดันจีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเป้าหมายแรกให้เพิ่มความร่วมมือในการหยุดยั้งการลักลอบข้ามพรมแดนของผู้อพยพและยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ
แม้ทรัมป์จะไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากนโยบายภาษีเหล่านี้ แต่นายฮาวเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า “แม้เศรษฐกิจจะถดถอย แต่ภาษีก็คุ้มค่า”
ทั้งนี้ หลายมาตรการภาษีที่ทรัมป์เคยประกาศในอดีต ก็เคยถูกเลื่อน ปรับเปลี่ยน หรือยกเลิกในเวลาต่อมา
ไทยจะรับมือสหรัฐฯ อย่างไร ?
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกแลถงการแสดงท่าที และแนวทางรับมือ โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลได้เตรียมแผนรับมือทั้งระยะสั้น-ยาวไว้แล้ว และเชื่อว่าจะบริหารจัดการไม่ให้กระทบ GDP ของประเทศ
โดยในระยะสั้น มีการตั้งทีมเจรจานำโดยปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคลัง ซึ่งเชื่อว่าสามารถต่อรองอัตราภาษี 36-37% ได้ พร้อมกำลังหาข้อสรุปเรื่องการเยียวยาผู้ประกอการส่งออกที่ได้รับผลกระทบ และจะรพิจรณาปรับ
ส่วนแนวทางการเจรจาต่อรอง
1.ไทยจะลดภาษีสินค้านำเข้าบางรายการให้กับสหรัฐ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าอยู่แล้ว แต่นำเข้าจากแหล่งอื่น อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง รวมถึงเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานในสหรัฐ
2.เพิ่มปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ยังไม่เคยนำเข้าจากสหรัฐ
3.ลดเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าของสหรัฐ
“มั่นใจว่าจะเจรจาต่อรองได้ ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ซึ่งไม่ใช่แค่การเจรจาด้านการค้าสินค้าเท่านั้น แต่จะทำทุกมิติ ทั้งการค้าบริการ ที่สหรัฐได้ดุลไทยจำนวนมาก การลงทุน ความมั่นคง การทหาร การเป็นพันธมิตรที่ดี หรือแม้แต่ความมั่นคงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยได้คำนึงถึงผลประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด และผลกระทบที่จะเกิดกับทุกฝ่ายน้อยที่สุดแล้ว”
ส่วนในระยะยาว รัฐบาลจะมองหาแนวทางการสร้างสมดุลการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น อาหาร เกษตร เทคโนโลยีขั้นสูง HDD Data Center ไปจนถึง AI พร้อมกับใช้วิธีหารืออย่างสร้างสรรค์เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และเกษตรของทั้งสองประเทศ
อ้างอิง
https://www.foreignaffairs.com/united-states/age-tariffs-trump-global-economy
https://today.line.me/th/v2/article/DR9XJ7g
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1174414
https://www.thansettakij.com/economy/trade-agriculture/624095
https://www.bbc.com/thai/articles/crkx4p47glpo
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
เจาะลึก! 4 มหาอำนาจ เปิดศึกแย่งชิงทรัพยากร “แร่หายาก” (Rare Earth) หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสีเขียว