🔬 ในวัฒนธรรมการบริโภคของชาวเยอรมัน “ผลทดสอบ” มีน้ำหนักมากกว่า “คำโฆษณา”
โดยทั่วไปแล้วแบรนด์ดังหรือชื่อเสียงของบริษัทไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้า หากสินค้าใดสามารถพิสูจน์ได้ว่า “ฟังก์ชันดี ใช้คุ้ม” ก็เพียงพอที่จะได้รับความนิยม
ชาวเยอรมันให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงเหตุผลและคุณภาพที่พิสูจน์ได้มากกว่าการตลาดหรือภาพลักษณ์
.
📈 หัวใจสำคัญของระบบนี้อยู่ที่องค์กรอิสระชื่อ Stiftung Warentest (อ่านว่า ชติฟตุง วาเรนเทสท์) ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1964 เป็นมูลนิธิที่ดำเนินงานอย่างเป็นกลาง ไม่เอนเอียง และไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทใดโดยตรง วิธีการทดสอบของ Stiftung Warentest มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะทดสอบสินค้าโดยไม่แจ้งแบรนด์ล่วงหน้า ไม่รับเงินโฆษณา และไม่รับสินค้าฟรีจากบริษัท
ผลการทดสอบจะให้คะแนนแบบเดียวกับระบบโรงเรียนในเยอรมนี ตั้งแต่ “ดีมาก” ไปจนถึง “ไม่น่าพอใจ”
ความน่าเชื่อถือขององค์กรนี้มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมาก หากสินค้าชิ้นใดได้รับคะแนน “ดีมาก” ยอดขายมักจะพุ่งขึ้นทันที ในทางตรงกันข้าม หากได้คะแนน “ไม่น่าพอใจ” ก็จะส่งผลให้ยอดขายร่วงลงโดยตรง นี่คือภาพสะท้อนของวัฒนธรรมการเลือกซื้อสินค้าที่ตั้งอยู่บนเหตุผลมากกว่าความรู้สึก ชาวเยอรมันจะพิจารณาว่าสินค้าคุ้มค่าหรือไม่ ใช้งานได้ดีหรือเปล่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพียงใด มากกว่าการใส่ใจว่าใครเป็นพรีเซนเตอร์ หรือว่าราคาแพงขนาดไหน
.
🌱 ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา Stiftung Warentest ยังได้เพิ่มเกณฑ์ด้าน CSR และ ESG เข้าไปในกระบวนการประเมินสินค้า เช่น ความยั่งยืนในการผลิต ความโปร่งใสของแบรนด์ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนแนวทางการบริโภคที่รับผิดชอบต่อสังคมและโลก
บทเรียนที่ประเทศไทยควรเรียนรู้จากระบบของเยอรมันก็คือ ปัจจุบันเรายังพึ่งพารีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์หรือการตลาดออนไลน์เป็นหลัก
หากไทยสามารถจัดตั้งองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ทดสอบสินค้าแบบไม่มีอคติ เช่นเดียวกับ Stiftung Warentest จะทำให้ตลาดแข่งขันกันที่ “คุณภาพจริง” แทนที่จะเป็น “ภาพลักษณ์” ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีข้อมูลที่รอบด้านมากขึ้น และยังเชื่อมโยงกับเป้าหมายด้าน ESG ได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
อ้างอิง: https://en.wikipedia.org/wiki/Stiftung_Warentest
และ ณัฐิยา สุจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้ากระทรวงพาณิชย์
