มลพิษตะกั่วที่เก่าแก่ที่สุดของโลก! กรีกโบราณกับมลพิษที่ส่งต่อถึงยุคปัจจุบัน

มลพิษตะกั่วที่เก่าแก่ที่สุดของโลก! กรีกโบราณกับมลพิษที่ส่งต่อถึงยุคปัจจุบัน

กรีกโบราณอาจเป็นหนึ่งในแหล่งแรกของมลพิษตะกั่วในสิ่งแวดล้อมของโลก ซึ่งส่งผลกระทบยาวนานจนถึงยุคปัจจุบัน และบทเรียนไทยจากลำห้วยคลิตี้ จ.กาญจนบุรี ที่ยังคงฟื้นฟูยาวนานเกือบ 30 ปี

 

  • มลพิษตะกั่วที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
  • ผลการศึกษาพบว่ามลพิษจากตะกั่วอาจทำให้ค่าเฉลี่ยไอคิวในกรุงโรมโบราณลดลง 
  • บทบาทของตะกั่วต่อการล่มสลายของกรุงโรม – ประเด็นถกเถียงทางประวัติศาสตร์
  • บทเรียนจากอดีตสู่ปัจจุบัน – กรณีมลพิษตะกั่วในแม่น้ำคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี

 

หลังจากที่นักวิจัยค้นพบหลักฐานเก่าแก่ที่สุดของมลพิษจากตะกั่วในดินแดนกรีกโบราณ ซึ่งมีอายุราว 5,200 ปีก่อน นับว่าเก่าแก่กว่าหลักฐานที่พบก่อนหน้านี้ถึง 1,200 ปี

เมื่อพูดถึงกรีกโบราณ คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ เช่น อริสโตเติล เพลโต หรือโสเครตีส รวมถึงระบอบประชาธิปไตยที่เป็นรากฐานของการปกครองในโลกตะวันตก แต่สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ กรีกโบราณอาจเป็นหนึ่งในแหล่งแรกของมลพิษตะกั่วในสิ่งแวดล้อมของโลก ซึ่งส่งผลกระทบยาวนานจนถึงยุคปัจจุบัน

 

มลพิษตะกั่วที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

นักวิจัยที่ศึกษาแกนตะกอนจากแผ่นดินใหญ่ของกรีก พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามนุษย์เริ่มปล่อยสารตะกั่วสู่สิ่งแวดล้อมเมื่อ 5,200 ปีก่อน ซึ่งเป็นมลพิษจากตะกั่วที่เก่าแก่กว่าที่เคยพบในพรุของเซอร์เบียถึง 1,200 ปี โดยแหล่งกำเนิดมลพิษตะกั่วในยุคแรกนี้มาจากกระบวนการถลุงแร่ทองแดงและเงิน ซึ่งในธรรมชาติ มักพบแร่เหล่านี้ปะปนอยู่กับตะกั่ว เมื่อนำแร่ไปหลอมเพื่อสกัดโลหะมีค่า ตะกั่วที่ปะปนอยู่ก็จะถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

จุดเปลี่ยนของมลพิษตะกั่วในยุคโบราณ

สารตะกั่วในน้ำแข็งกรีนแลนด์มีที่มาจากกระบวนการถลุงแร่เงินของชาวโรมัน ซึ่งปล่อยสารพิษสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมหาศาล นักวิจัยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของตะกั่วต่อมนุษย์ในยุคปัจจุบัน คำนวณปริมาณตะกั่วที่อาจเข้าสู่ร่างกายของชาวโรมันและผลกระทบต่อสมอง

ในช่วงแรก กิจกรรมการถลุงโลหะเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ของกรีกโบราณ โดยเฉพาะบริเวณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกรีซ ใกล้เกาะธาซอส ซึ่งเป็นแหล่งขุดแร่และศูนย์กลางงานโลหะที่สำคัญของยุโรปในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม มลพิษจากตะกั่วในยุคแรกยังคงอยู่ในระดับต่ำ จนกระทั่งอาณาจักรโรมันเข้ามามีบทบาทและทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อกองทัพโรมันเข้าพิชิตดินแดนกรีกในปี 146 ปีก่อนคริสตกาล และเริ่มขยายอิทธิพลไปทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เศรษฐกิจของจักรวรรดิโรมันก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการเหรียญเงินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล กระบวนการถลุงแร่เงินจึงถูกกระตุ้นให้ขยายตัวเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การผลิตโลหะเงินของโรมันในช่วงพีค ปล่อยตะกั่วสู่ชั้นบรรยากาศในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งนักวิจัยพบว่ามันส่งผลกระทบไปไกลถึงน้ำแข็งในกรีนแลนด์

 

 

ภัยเงียบที่แฝงตัวในชีวิตประจำวัน

นักวิจัยวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำแข็งในกรีนแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่เป็น “บันทึกมลพิษ” ของโลก และพบว่าระดับตะกั่วในยุคโรมันนั้น สูงถึง 1 ใน 3 ของระดับสูงสุดที่สหรัฐฯ เคยประสบในช่วงทศวรรษ 1970 ก่อนที่กฎหมายอากาศสะอาด (Clean Air Act) จะมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังคำนวณว่า มลพิษจากตะกั่วในจักรวรรดิโรมันอาจทำให้ระดับสติปัญญา (IQ) เฉลี่ยของประชากรลดลง 2.5-3 คะแนน ซึ่งเป็นผลพวงจากการสะสมของสารพิษในร่างกาย

แม้ว่าการศึกษานี้จะวัดเฉพาะมลพิษจากตะกั่วในอากาศ แต่นักวิจัยชี้ว่า ตะกั่วมีอยู่ทุกที่ในกรุงโรม ชาวโรมันได้รับตะกั่วจากไวน์ที่บ่มในภาชนะตะกั่ว ระบบประปาที่ใช้ท่อน้ำตะกั่ว และถ้วยดื่มที่ปนเปื้อนสารพิษ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า การบริโภคตะกั่วในปริมาณมากอาจทำให้ชนชั้นสูงของโรมันป่วยเป็นโรคเกาต์ และส่งผลต่อพฤติกรรมทางสังคม

 

 

ปัจจัยที่ซ้ำเติมความเสื่อมถอยของโรมัน?

แม้ว่าโรมันจะล่มสลายจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งโรคระบาด ปัญหาเศรษฐกิจ การรุกรานจากชนเผ่าต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ มลพิษจากตะกั่วอาจเป็นหนึ่งในตัวเร่งที่ทำให้จักรวรรดิอ่อนแอลง นักวิชาการยังคงถกเถียงกันถึงบทบาทของสารตะกั่วในความเสื่อมถอยของโรมัน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ พิษจากตะกั่วเป็นภัยเงียบที่มีอยู่จริงและส่งผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว

ศาสตราจารย์โจ แมนิง จากมหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า ชีวิตในโรมโบราณเต็มไปด้วยความยากลำบาก อายุขัยเฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 25-30 ปี และเมืองโบราณเต็มไปด้วยโรคระบาดและสุขอนามัยที่ย่ำแย่

“ตะกั่วอาจเป็นปัจจัยที่เร่งให้จักรวรรดิโรมันเสื่อมถอย แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียว” นักวิจัยกล่าว

 

 

บทเรียนจากอดีต

สู่มลพิษตะกั่วในยุคปัจจุบัน

แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีการใช้ท่อน้ำตะกั่วเหมือนในยุคโรมัน แต่ ปัญหาการปนเปื้อนของสารตะกั่วยังคงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง เช่น การปล่อยสารตะกั่วจากอุตสาหกรรม โรงงานถลุงแร่ และการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ตัวอย่างในประเทศไทยคือ กรณีมลพิษตะกั่วในแม่น้ำคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่มายาวนาน

ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 การวัดการปนเปื้อนดำเนินการโดยการเก็บตัวอย่างน้ำ ตะกอนดิน ปลา และพืชผักในพื้นที่ แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เมื่อพบว่ามีการปนเปื้อนสารตะกั่วจากโรงแต่งแร่ในพื้นที่ ปนเปื้อนในปลาและพืชผักที่เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวกะเหรี่ยงที่ยังคงใช้น้ำและบริโภค อีกทั้งประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาสุขภาพ เช่น โรคทางเดินหายใจ และความผิดปกติของระบบประสาท จากการตรวจสอบในปี 2567 การปนเปื้อนสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี ยังคงเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีความพยายามฟื้นฟูมาเกือบ 30 ปี 

 

งานวิจัยเกี่ยวกับมลพิษตะกั่วในยุคโบราณจึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า มลพิษจากสารตะกั่วและสารพิษอื่นๆ สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสติปัญญาของประชากรในระยะยาว หากไม่มีมาตรการป้องกันและควบคุมที่เหมาะสม 

ประเทศไทยควรเรียนรู้จากอดีตและเร่งพัฒนานโยบายด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชากรในปัจจุบันและอนาคตสำหรับคนรุ่นต่อไป  เพื่อลดความเสี่ยงจากสารตะกั่วและสารพิษอื่น ๆ ก่อนที่เราจะต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกับจักรวรรดิโรมันในอดีต

 

ที่มา : 

https://www.nbcnews.com/science/science-news/lead-pollution-ancient-rome-dropped-average-iq-study-rcna186200

https://theactive.thaipbs.or.th/news/20210202-2?utm_source=chatgpt.com

https://mgronline.com/local/detail/9670000006553?utm_source=chatgpt.com#google_vignette