ดีแตกเกลื่อนอุทยานจามจุรี

ดีแตกเกลื่อนอุทยานจามจุรี


เกียรติยศศักดิ์ศรี…รางวัลและคุณงามความดี ที่เคยถูกใช้เป็นหลักประกันยืนยันความน่าเชื่อถือศรัทธาของคน มีอันต้องพังทลายลงอย่างย่อยยับจากปรากฏการณ์ต้มตุ๋นสะท้านสะเทือนในดินแดนจามจุรีสีชมพู ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คนเก่ง..คนดีศรีจุฬาฯ ที่”ดีแตก”แหลกละเอียด กลายเป็นพันธุ์ 18 มงกุฎตัวพ่อ และล้มละลายในความน่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิง คือ รศ.ดร.สวัสดิ์  แสงบางปลา อดีตประธานสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เขาคนนี้ คือนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง และเป็นคนไทย คนแรก ซึ่งไปร่ำเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ในประเทศอังกฤษ แล้วกลับมาบุกเบิกภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกการนำระบบคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการลงทะเบียนการเรียนการสอนเป็นครั้งแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อผันตัวเอง จากงานสอนหนังสือในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ไปเป็นประธานสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ผูกขาดตำแหน่งยาวเฟื้อยเป็นสิบๆปี กระทั่งเกิดอุตริคิดสกปรกพฤติกรรมสกปรกโสมม ที่ถูกงัดออกมาใช้คือการอาศัยตำแหน่งหน้าที่เรียกดูสถานะความเคลื่อนไหวของบัญชีเงินฝากสมาชิกสหกรณ์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาจารย์จุฬาฯ ที่เกษียณอายุแล้ว แล้วเลือกเฟ้นรายชื่อสมาชิกที่มีเงินฝากค้างบัญชีจำนวนมาก และเป็นบัญชีประเภทนั่งกินนอนกินดอกเบี้ยเป็นหลัก ปราศจากความเคลื่อนไหวขึ้นมา 1 ชุด

บรรดารายชื่อสมาชิกสหกรณ์ฯที่ถูกเลือกเฟ้นขึ้นมา จะได้รับเกียรติติดต่อเชื้อเชิญให้เข้าร่วมลงทุน “แชร์ล็อตเตอรี่” ในช่วงปลายปี 2559 ซึ่งกำหนดอัตราผลตอบแทนร้อยละ 1 ต่อเดือน

เหยื่อที่หลงเชื่อในเกียรติยศ และความดีของเขาคนนี้ โดยไม่เฉลียวใจว่าความดีได้แตกละเอียดย่อยยับไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งยอมโอนเงินฝากไปร่วมลงทุน จะได้รับเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าจำนวน 13 ใบ เป็นหลักประกันเพื่อความอุ่นใจ…และตายใจ

เช็คใบที่ 1-12 เป็นเช็คจ่ายผลตอบแทนรายเดือน และเช็คใบสุดท้าย..ใบที่ 13 เป็นเช็คสั่งจ่ายคืนเงินต้นหรือเงินประเดิมลงทุน

เหยื่อที่หลงคารมและลุ่มหลงอยู่กับความดีจอมปลอม เริงร่าลิงโลดกับผลตอบแทนได้เพียงแค่ 3 เดือน ก็ต้องพากันน้ำตาตกในไปตามๆกัน เมื่อไม่สามารถนำเช็คใบที่ 4 ไปขึ้นเงินได้เหมือนใบก่อนหน้า และไม่สามารถติดต่อผู้สั่งจ่ายเช็คได้

เมื่อรู้แน่ใจว่าถูกต้มตุ๋นแน่แล้ว จึงมีความพยายามแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับตัว “ดอกเตอร์ลวงโลก”

ผลจากการสืบค้นข้อมูล ทำให้รู้ว่านักต้มตุ๋นรายนี้ เคยใช้ “เตาปูนแมนชั่น”เป็นที่ซุกหัวนอน แต่ได้ขนย้ายข้าวของออกไปนานแล้ว และห้องที่เคยใช้ซุกหัวนอนก็ถูกตัดน้ำตัดไฟเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ปรากฏร่องรอยทรัพย์สินอื่นใดให้ตามยึดอายัดไปเฉลี่ยคืนแก่เหยื่อ

ถิ่นพำนักของนักต้มตุ๋นรายนี้คือห้องทำงานภายในสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขณะที่นักต้มตุ๋นรายนี้ อยู่ระหว่างล่องหนหายตัว ปล่อยให้ตำรวจไล่ล่าหาตัว กลับปรากฏข่าวแสนเศร้าสลดที่สื่อสารความทุกข์ระหว่างกันในหมู่เหยื่อ….

“อาจารย์…..เครียด! เส้นเลือดสมองแตก เสียชีวิต”

“อาจารย์…..ช็อค!พูดจาไม่รู้เรื่อง”

“อาจารย์….กลายเป็นคนซึมเศร้า เก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่พูดไม่คุยกับใครทั้งนั้น”

กรรมอันเกิดจากความชั่วช้าสามานย์ กำลังก่อนเกิดปรากฏการณ์ “บาปบริสุทธิ์”อย่างสุดแสนอมหิตเกลื่อนกล่นไปทั่วอุทยานจามจุรี!!!

โดย : ศักดิ์ชัย พฤฒิภัค