อยากเรียนว่าตอนเข้ามาทำงานเราต้องเผชิญกับปัญหาหลัก
ๆ 2 ประการใหญ่คือ 1.ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนกำลังเพราะเหตุผลใหญ่ ๆ 2-3 ประการ คือ
1)ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องข้าว ยางพารา
คนไทยมีจำนวนกว่า 20 ล้านคนที่เป็นเกษตรกร เมื่อราคาตกต่ำอำนวจซื้อจึงถดถอย
กำลังซื้อในตลาดก็หายไปด้วย 2) เศรษฐกิจโลกไม่ดี ประเทศไทยส่งออกสูงมากประมาณ 70 % ของจีดีพี เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดีการส่งออกจึงถดถอยตามไปด้วย 3) เมืองไทยยังขาดความเชื่อมั่นจากผลพวง
2-3 ปีที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งข่าวสารที่ออกไปยังไม่ดี ซึ่งถ้าคนในประเทศยังขาดความเชื่อมั่น
อย่าหวังว่านักลงทุนต่างประเทศเขาจะเชื่อมั่น เมื่อเกิดภาวะชะลอการลงทุนเพื่อดูประเทศไทยอนาคตจะเป็นอย่างไร
ปัญหาประการที่สองคือ
ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ที่ผ่านมาพบว่า 1)ระบบเศรษฐกิจไทยเริ่มไม่สมดุล
รายได้จึงกระจุกตัวอยู่แค่ภาคอุตสาหกรรมรายได้จึงเกิดความไม่เท่าเทียมกัน คนในประเทศเราต้องการเติบโตมาจากภายในหมายความว่า
เกษตรตลอดจนการลงทุนในท้องถิ่น การสะสมเม็ดเงิน การสร้างสินค้าชุมชน
สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความสมดุลภายในประเทศ ภายในท้องถิ่น
วันนี้กระทรวงมหาดไทยจึงต้องปรับตัวหันมาพัฒนาให้เกิดความตื่นตัวในท้องถิ่น
ซึ่งมี 2 แนวทางคือ 1.การใช้แนวนอน มันคือการขับเคลื่อนของสังคมจากรากฐานประชาชนจากพื้นที่ต้องใช้แนวประรัฐ
เอกชน ประชาชน รัฐบาลต้องช่วยกันขับเคลื่อน
ต้นปีหน้ามันต้องมีโครงการที่พัฒนามาจากท้องถิ่น ต้องดูว่าในแต่ละชุมชนเขาต้องพัฒนาอะไร
2.ในแนวทางดิ่ง
คือกระทรวง ทบวง กรม กระทรวงเกษตรฯต้องดูแล 2 ปีที่ผ่านมายอมรับว่าปัญหาความยากจน ปัญหาภัยแล้ง
ทำให้เกษตรต้องช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน กระทรวงพาณิชย์จึงมีหน้าที่ในการจัดหาตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ
ส่วนกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯจะเริ่มนำเอาเทคโนโลยีไปสู่การเกษตร กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่คุมต่างจังหวัด
ขอให้งบในภาคจังหวัดมากขึ้น เพื่อให้เป็นจุดศูนย์กลางในการพัฒนาจริงๆ
ผมและคณะทำงานไม่สามารถสัญญาได้ว่าทุกอย่างจะดีหรือสมบูรณ์
100%
แต่ผมสามารถให้สัญญาได้ว่าถ้าผมทำงานให้ได้เต็มที่
อย่างซื่อสัตย์สุจริต เราจะทำดีที่สุด ถือว่าสิ่งเหล่านี้คือหน้าที่ของพวกเรา
นาทีนี้ เป็นนาทีที่สำคัญมากที่ต้องก้าวข้ามไปให้ได้