ข้อมูลจาก Unicef (ยูนิเซฟ) ระบุว่าทั่วโลกมีเด็กพิการมากถึง 240 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 10 ของเด็กทั่วโลก ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ขาดโอกาสในแทบทุกด้านของชีวิตเมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่พิการ
ข้อมูลดังกล่าวมาจากรายงานวิเคราะห์ฉบับใหม่ของยูนิเซฟที่ครอบคลุมที่สุดชื่อ Seen, Counted, Included: Using data to shed light on the well-being of children with disabilities ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือน พ.ย.64 จำนวนเด็กพิการล่าสุดนี้สูงกว่าตัวเลขประมาณการเดิม เนื่องจากครอบคลุมความพิการในหลายมิติมากกว่าเดิม โดยรวมความยากลำบากในการใช้ชีวิตในด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าด้วย
“เด็กพิการถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในสังคมและได้รับโอกาสน้อยที่สุดในทุกด้านของชีวิต พวกเขามักเผชิญกับการถูกตีตราและการเลือกปฏิบัติ อุปสรรคทางการศึกษา บริการสุขภาพ การถูกทำร้าย ถูกทอดทิ้ง และถูกแสวงประโยชน์” “คยองซัน คิม” ผู้อำนวยการ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าว
ในประเทศไทยเอง ยูนิเซฟได้สนับสนุนสำนักงานสถิติแห่งชาติในการจัดทำการสำรวจความพิการ พ.ศ. 2560 เป็นครั้งแรกที่ใช้ชุดคำถามความพิการของเด็กอายุ 2-17 ปี (Child Functioning Module) ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มวอชิงตัน (Washington Group) และยูนิเซฟ เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะความพิการที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก
ผลสำรวจจากปี 2560 พบว่า ในประเทศไทยมีเด็กพิการเกือบ 140,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวที่ยากจน โดยเด็กพิการประมาณร้อยละ 38 ไม่ได้เข้าเรียน, ร้อยละ 27 ไม่ได้รับบริการส่งเสิรมสุขภาพ และอีกร้อยละ 4 ไม่ได้รับการตรวจรักษาเมื่อเจ็บป่วยหรือจำเป็น และเกือบครึ่งหนึ่งของเด็กพิการไม่ได้จดทะเบียนคนพิการกับรัฐ และไม่ได้รับเบี้ยความพิการ
สำหรับรายงานฉบับใหม่ของยูนิเซฟ ได้รวบรวมเอาข้อมูลจาก 42 ประเทศ และครอบคลุมตัวชี้วัดความเป็นอยู่ของเด็กมากกว่า 60 ประเภท ทั้งในด้านโภชนาการและสุขภาพ การเข้าถึงน้ำและสุขาภิบาล การศึกษา การได้รับปกป้องจากความรุนแรงและการถูกแสวงประโยชน์
โดยพบว่า เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่พิการแล้ว เด็กพิการมีสถิติดังนี้
-ร้อยละ 24 มีแนวโน้มที่จะได้รับการกระตุ้นพัฒนาการในช่วงปฐมวัยและการดูแลน้อยกว่า
-ร้อยละ 42 มีแนวโน้มที่จะมีพื้นฐานการอ่านและทักษะด้านคณิตศาสตร์ต่ำกว่า
– ร้อยละ 25 มีแนวโน้มที่จะมีภาวะผอมแห้งกว่า และร้อยละ 34 มีภาวะเตี้ยแคระแกร็นกว่า
– ร้อยละ 53 มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันมากกว่า
– ร้อยละ 49 มีแนวโน้มที่จะไม่เคยเข้าโรงเรียนมากกว่า
-ร้อยละ 47 มีแนวโน้มจะออกจากโรงเรียนในระดับประถมศึกษามากกว่า
-ร้อยละ 33 ออกจากโรงเรียนระหว่างมัธยมศึกษาตอนต้นมากกว่า
-ร้อยละ 27 ออกจากโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมากกว่า
– ร้อยละ 51 มีแนวโน้มที่ไม่มีความสุขมากกว่า
– ร้อยละ 41 มีแนวโน้มที่จะถูกเลือกปฏิบัติมากกว่า
– ร้อยละ 32 มีแนวโน้มที่จะถูกลงโทษทางร่างกายอย่างรุนแรงมากกว่า
นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กพิการซ้ำซ้อนมักมีอัตราการออกจากโรงเรียนสูงกว่าเด็กอื่น ๆ และความเหลื่อมล้ำยิ่งสูงขึ้นตามความรุนแรงของความพิการ
ดังนั้น จึงควรออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่มตามสถานการณ์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำดังกล่าว โดยเรียกร้องให้รัฐบาลมอบโอกาสที่เท่าเทียมให้แก่เด็กพิการและคนพิการทุกคนเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
พร้อมทั้งขจัดการตีตราและการเลือกปฏิบัติ ตลอดจนดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาเข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษาที่ครอบคลุมและมีคุณภาพและเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้อย่างเท่าเทียม
รัฐบาลและภาคประชาสังคม ต้องสร้างการมีส่วนร่วมและรับฟังเสียงของเด็กและคนพิการ ตระหนักถึงความต้องการเฉพาะตัวของพวกเขาเมื่อจัดบริการด้านสุขภาพ สุขภาพจิต การศึกษา และบริการคุ้มครองเด็ก