ในยุคที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำและเงินเพียงรายเดียวในประเทศไทย ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ด้วยการจับมือกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ริเริ่มโครงการวิจัยและพัฒนาสุดล้ำ
โครงการดังกล่าว เปลี่ยน “หางแร่” ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นของเสีย ให้กลายเป็น “ทรัพยากรใหม่” ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง และสามารถนำมาผลิตเป็น “อิฐรักษ์โลก” พร้อมสร้าง “วิสาหกิจชุมชนสีเขียว” ในพื้นที่นำร่อง โครงการนี้ไม่เพียงสะท้อนวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นสู่การทำเหมืองแบบไร้ของเสีย (Zero Waste Mining) แต่ยังสอดรับกับนโยบาย Net Zero และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อย่างแท้จริง

อัครา รีซอร์สเซสฯ : ผู้นำในอุตสาหกรรมแร่ทองคำและเงินของไทย
อัครา รีซอร์สเซสฯ ดำเนินธุรกิจหลักคือการประกอบกิจการ “เหมืองแร่ทองคำชาตรี” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของจังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก และเป็นเหมืองแร่ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บริษัทฯ มีความสามารถในการแปรรูปแร่ได้ถึง 5 ล้านตันต่อปี และมีกำลังการผลิตของโรงประกอบโลหกรรมอยู่ที่ 2 ล้านตันต่อปี กระบวนการผลิตของอัคราฯ เริ่มจากการผลิต “แท่งโดเร่” ซึ่งเป็นแท่งโลหะผสมที่มีทองคำประมาณ 10-15% และเงินกว่า 85-90% ก่อนที่จะส่งแท่งโดเร่เหล่านี้ไปสกัดเป็นทองคำบริสุทธิ์ 99.9% และเงิน 95.5% เพื่อป้อนให้กับผู้ประกอบการอัญมณีในประเทศ
“หางแร่” จากของเหลือทิ้งสู่ “ทรัพยากรรอง” แห่งอนาคต
หางแร่ (Tailings) คือ วัสดุที่เหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตแร่ทองคำและเงิน ในเหมืองโลหะ โดยเฉพาะทองคำ ซึ่งมีความสมบูรณ์ของแร่ต่ำมากเพียง 0.5 ส่วนในล้านส่วน ทำให้มี ส่วนที่เหลือใช้มากถึง 80-90% ของทั้งหมด ที่เหมืองแร่ทองคำชาตรี บ่อเก็บหางแร่ที่ 1 มีปริมาณสะสมอยู่ประมาณ 22 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณมหาศาล
ในอดีต หางแร่เหล่านี้เคยถูกจัดเก็บเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน แนวคิดได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยหางแร่กำลังถูกนิยามใหม่ว่าเป็น “ทรัพยากรรอง” (secondary resources) ที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
คุณสมบัติเด่นของหางแร่ ที่ทำให้มีศักยภาพในการเป็นวัสดุก่อสร้าง ได้แก่:
- ความละเอียดสูง : หางแร่มีความละเอียดมากในระดับไมครอนเหมือนผงแป้ง สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการบดหรือแปรรูปเพิ่มเติม ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตวัสดุก่อสร้างได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการใช้หินจากโรงโม่ทั่วไปที่ต้องผ่านหลายขั้นตอน
- ความแข็งแกร่ง : หางแร่มีความแข็งแกร่งจากองค์ประกอบของแร่ เช่น ควอตซ์และเฟลด์สปาร์ ซึ่งมีความแข็งมากกว่าหินปูนที่ใช้กันโดยทั่วไป
ด้านความปลอดภัยของหางแร่ เป็นประเด็นที่อัคราฯ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เน้นย้ำและพิสูจน์มาโดยตลอดว่า แท้จริงแล้วหางแร่คือ “หิน” ที่ถูกบดละเอียดและผ่านกระบวนการสกัดทองคำออกไปเท่านั้น คุณสมบัติเดิมของหินจึงยังคงอยู่ อัคราฯ มีการวิจัยความปลอดภัยของหางแร่อย่างต่อเนื่องและหลากหลายวิธีมาโดยตลอด มีการวิเคราะห์ตัวอย่างทั้งสารไซยาไนด์และโลหะอื่นๆ อย่างเป็นระบบ ผลลัพธ์จากห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานยืนยันว่า อยู่ในระดับที่ปลอดภัยและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ งานวิจัยก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จในการนำหางแร่ไปผลิตเป็น ก้อนไบโอซีเมนต์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหาทางเคมีและไม่เป็นของเสียอันตราย
ความร่วมมือระหว่างอัคราฯ และจุฬาฯ : ต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน การตัดสินใจร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความท้าทายในการจัดการหางแร่ปริมาณมหาศาล และความมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางวิชาการมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง อัคราฯ ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณการวิจัยปีละ 3 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์ของหางแร่และนำมาพัฒนาเป็น “อิฐบล็อก” ในระยะแรก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีความแข็งแรงเหนือกว่าอิฐบล็อกทั่วไป
กระบวนการดำเนินโครงการ จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก :
- ช่วงแรก : มุ่งเน้นการศึกษาและวิเคราะห์ความปลอดภัยของหางแร่ วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี ทดสอบการนำไปใช้ในลักษณะต่างๆ และประเมินความเสี่ยงเพื่อจัดทำมาตรฐานควบคุม
- ช่วงกลาง : เป็นการขึ้นรูปและทดสอบคุณภาพของวัสดุ เช่น อิฐบล็อก เพื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ทั่วไปในตลาด
- ช่วงสุดท้าย : เป็นการเตรียมผลิตภัณฑ์ต้นแบบ พร้อมทดลองใช้งานจริงในพื้นที่รอบเหมือง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ก่อนขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ
จุดเด่นของโครงการนี้คือ การมีส่วนร่วมของชุมชน โดยจะมีการจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนสีเขียว” ในพื้นที่นำร่องจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ เพื่อให้คนในท้องถิ่นเป็นเจ้าของกิจการและร่วมพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะสนับสนุนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาวิชา ทั้งวิศวกรรมเหมืองแร่ วัสดุศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และสังคม เพื่อให้ความรู้แก่ชาวบ้านในวิสาหกิจชุมชน ด้านเทคนิคการผลิต การควบคุมคุณภาพ การบริหารจัดการ และการขาย โครงการนี้จึงเป็นเสมือน “โรงเรียนภาคสนาม” ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากภาคอุตสาหกรรมจริง และคณาจารย์ได้พัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่สามารถส่งคืนสู่สังคมได้โดยตรง
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซสฯ คาดหวังว่า “หางแร่” จะกลายเป็นหนึ่งในวัสดุที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สร้างแรงกระเพื่อมต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างไทย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนในอนาคต

นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซสฯ
ประโยชน์และเป้าหมายในอนาคต โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างในพื้นที่ที่ขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง แต่ยังช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิต ให้กับชุมชนโดยรอบเหมืองอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติ และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ในกระบวนการก่อสร้าง
ด้านอาจารย์ ดร.พีท หอมชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คาดการณ์ว่าในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า หางแร่อาจต่อยอดพัฒนาไปสู่ วัสดุขั้นสูง (Advanced Materials) เช่น ฉนวนและคอนกรีตน้ำหนักเบา รวมถึงวัสดุสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้อีกด้วย

อาจารย์ ดร.พีท หอมชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็น โมเดลต้นแบบของการบริหารจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ที่ไม่เพียงมุ่งหวังผลเชิงพาณิชย์ แต่คาดหวังที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ประกอบการเหมืองแร่และงานวิจัยไทยในการตอบโจทย์การพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
ความยั่งยืน งานวิจัยไทย นักวิจัยไทย หางแร่ อัครา รีซอร์สเซสฯ อุตสาหกรรมแร่ทองคำ เศรษฐกิจหมุนเวียน
