จากการสำรวจของกรมป่าไม้ในปี 2023 พบว่า พื้นที่ป่าสงวนที่ถูก ‘ทุนจีนเทา’ บุกรุกเพื่อปลูกทุเรียน 5,000 ไร่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1 และ 2 ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศ
ทุเรียนไทยเป็นทองคำเขียวที่ทุนจีนกำลังเข้ามายึดครอง แต่อะไรคือราคาที่แท้จริงที่ประเทศไทยต้องจ่าย? เมื่อผืนป่าสงวนนับหมื่นไร่ถูกแปรสภาพเป็นสวนทุเรียน ใครคือผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริงจากการส่งออกผลไม้มูลค่ามหาศาลนี้?
มีใครเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า ทำไมคนไทยต้องแย่งกันซื้อทุเรียนในราคาแพงลิบ ทั้งที่เราเป็นแหล่งผลิตใหญ่ของโลก? หรือว่าเราทุกคนกำลังเป็นเพียงผู้ชมการเปลี่ยนมือของทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่า จากป่าไม้ของชาติสู่แปลงเพาะปลูกของนายทุนต่างชาติ
การรุกคืบที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ นี้จะนำไปสู่วิกฤตที่ซ้อนทับกันทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารของไทยได้อย่างไร? และเราจะมีทางออกให้กับปัญหาซับซ้อนนี้หรือไม่?

วิกฤตทุเรียนไทย เมื่อทุนจีนเทารุกป่าสงวน สร้างวิมานหนาม
การรุกคืบของทุนจีนในธุรกิจทุเรียนไทยกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและระบบเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก ปรากฏการณ์ “สวนทุเรียนในป่าสงวน” เป็นหนึ่งในวิกฤตสำคัญที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐต้องออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อจัดการปัญหาดังกล่าว
การรุกคืบของทุนจีนในตลาดทุเรียนไทย
ตั้งแต่ปี 2560 ทุนจีนเริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดทุเรียนไทย โดยเริ่มจากการตั้ง “ล้ง” หรือ “โรงคัดบรรจุ” เพื่อส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีน จากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร ณ เดือนพฤษภาคม 2567 มีโรงคัดบรรจุผลไม้ที่ส่งออกไปจีนทั่วประเทศกว่า 2,122 ราย โดยใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก (จันทบุรี ระยอง ตราด) มีจำนวน 988 ล้ง และเฉพาะจังหวัดจันทบุรีมีมากถึง 909 ราย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2559 ที่มีเพียง 122 ราย
แม้รายชื่อผู้ประกอบการจะปรากฎเป็นสัญชาติไทยหรือบริษัทไทย แต่ความเป็นจริงแล้ว นายทุนจีนครอบครองสัดส่วนกว่า 90% ของจำนวนล้งทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงการใช้นอมินีไทยในการดำเนินธุรกิจอย่างกว้างขวาง
ต่อมาในช่วงปี 2564 ทุนจีนได้ขยายการลงทุนโดยการกว้านซื้อสวนทุเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อการส่งออกผลผลิตทุเรียนไปจีน และทำสวนทุเรียนเพื่อการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวจีน
จากการสำรวจของกรมป่าไม้ในปี 2567 พบว่า พื้นที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุกเพื่อปลูกทุเรียนมีมากกว่า 5,000 ไร่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1 และ 2 ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศ

รูปแบบการบุกรุกและครอบครองที่ดิน
งานวิจัยเรื่อง “การครอบครองที่ดินข้ามพรมแดนของทุนจีนเทา กรณีสวนทุเรียนในภาคตะวันออกของประเทศไทย” โดย Land Watch Thai และ EEC Watch เปิดเผยว่า ทุนจีนมักหลีกเลี่ยงการซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ เช่น โฉนดหรือ น.ส.3 เนื่องจากมีราคาแพง แต่จะเน้นซื้อที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ซึ่งมีราคาถูกกว่า โดยเฉพาะในอำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ
รูปแบบการดำเนินการของทุนจีน มี 4 รูปแบบหลัก
จากการตรวจสอบพบว่า ทุนจีนมีรูปแบบการดำเนินการที่ซับซ้อนเพื่อให้ได้มาซึ่งพื้นที่เพาะปลูก
- การใช้นอมินี (Nominee) ใช้คนไทยเป็นตัวแทนในการถือครองที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ
- การทำสัญญาเช่าระยะยาว ทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว 30-50 ปี กับเกษตรกรไทยที่ประสบปัญหาทางการเงิน
- การตั้งบริษัทร่วมทุน จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับนักธุรกิจไทยเพื่อเข้าถึงพื้นที่เกษตรกรรม
- การใช้เทคนิคทางกฎหมาย บางกรณีมีการสวมสิทธิ์ในเอกสารสิทธิ์ที่ดินหรือการขยายแนวเขตพื้นที่เพาะปลูกเข้าไปในเขตป่าสงวนโดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย
กระบวนการซื้อที่ดินมักดำเนินการผ่านนายหน้าซึ่งเป็นผู้นำท้องถิ่น เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เนื่องจากรู้จักพื้นที่และเจ้าของที่ดินเป็นอย่างดี โดยได้รับค่าตอบแทนประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อสัญญา

สวนทุเรียนในพื้นที่ป่าสงวน ปฏิบัติการยึดคืนผืนป่า
จากการตรวจสอบของชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ พบการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกทุเรียนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในแถบภาคตะวันออก มีการตรวจยึดพื้นที่หลายครั้ง เช่น
- การตรวจยึดพื้นที่เนื้อที่ 1,848 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าจันทร์ตาแป๊ะ ป่าเขาวังแจง และป่าขุนซ่อง จังหวัดจันทบุรี
- การตรวจยึดพื้นที่เนื้อที่ 105 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนซ่อง จังหวัดจันทบุรี
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ชุดพยัคฆ์ไพรลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีกลุ่มนายทุนที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติตกพรม จังหวัดจันทบุรี พบพื้นที่บุกรุกกว่า 919 ไร่ มีการปลูกทุเรียนและพืชเศรษฐกิจอื่นๆ รวมกว่า 12,000 ต้น พร้อมอาคารสิ่งปลูกสร้าง ถนนคอนกรีต และบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่รองรับการทำสวนอย่างเป็นระบบ
ที่ดิน คทช. ประตูสู่การบุกรุก
ปัญหาสำคัญอีกประการคือการนำที่ดิน คทช. (คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ไปซื้อขายเปลี่ยนมือโดยมิชอบ ที่ดิน คทช. เป็นที่ดินที่รัฐจัดสรรให้ประชาชนทำกินในรูปแบบแปลงรวม โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ได้ ซึ่งไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้
กรมป่าไม้ได้มอบที่ดินให้ สคทช. จำนวน 7.2 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรทำกิน ซึ่งเกษตรกรสามารถถือครองได้ไม่เกินรายละ 20 ไร่ แต่พบว่ามีการนำที่ดินเหล่านี้ไปซื้อขายเปลี่ยนมือให้กับนายทุน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์อย่างชัดเจน

ผลกระทบที่เกิดขึ้น
- ด้านการตลาด ทุนจีนพยายามควบคุมกลไกการตลาดทุเรียนในทุกขั้นตอน ทั้งต้นน้ำ (ผู้ผลิต) กลางน้ำ (ล้งรับซื้อผลผลิต) และปลายน้ำ (ตลาดปลายทาง) ปัจจุบันมีทุเรียนนำเข้าจีนเป็นพันตู้คอนเทนเนอร์ต่อวัน มูลค่าประมาณ 1.5-3 ล้านบาทต่อตู้ สะท้อนมูลค่ามหาศาลของตลาดทุเรียนที่ทุนจีนกำลังผูกขาด
- ด้านสิ่งแวดล้อม สวนทุเรียนของทุนจีนมีการใช้น้ำและสารเคมีอย่างเข้มข้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรรอบข้างและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังพบการบุกรุกพื้นที่ป่าและเขตชลประทานเพื่อทำสวนทุเรียน โดยเฉพาะที่จังหวัดตราด
- ด้านเศรษฐกิจ ล้งไทยซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 10% อาจต้องปิดกิจการ เนื่องจากแทบไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ต่างจากล้งจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่
การสร้างความไม่เสถียรในตลาดส่งออก
การที่ทุนจีนควบคุมทั้งการผลิตและการตลาดทุเรียนไทย ทำให้เกิดความไม่เสถียรในตลาดส่งออก เนื่องจากนักลงทุนชาวจีนมักมุ่งเน้นผลกำไรระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืนของอุตสาหกรรมในระยะยาว
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า: “ในปี 2024 ประเทศไทยส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีนคิดเป็นมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท แต่เกษตรกรไทยได้รับประโยชน์จากมูลค่าการส่งออกนี้เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น ส่วนที่เหลือตกอยู่กับพ่อค้าคนกลางและผู้ส่งออกซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนชาวจีน”

แนวทางแก้ไขปัญหา
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้ตรวจสอบที่ดินทำกินที่ คทช. นำไปจัดสรรให้แก่ชาวบ้าน หากพบว่าทำผิดเงื่อนไข ให้ดำเนินการตามกฎหมายทุกกรณี และอาจพิจารณานำพื้นที่กลับมาฟื้นฟูให้เป็นป่าหรือพัฒนาเป็นป่าชุมชน
นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานกับ GISTDA ในการใช้ดาวเทียมตรวจสอบที่ดินแปลงใหญ่ที่ส่งมอบให้ คทช. ไปแล้ว 7.2 ล้านไร่ โดยจะนำร่องที่จังหวัดฉะเชิงเทราและจันทบุรี
วิกฤตที่ไทยต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
วิกฤต “สวนทุเรียนในป่าสงวนของทุนจีน” เป็นประเด็นใหญ่ที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างหลายด้าน ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การบริหารจัดการที่ดิน และการควบคุมการลงทุนจากต่างชาติ หากปล่อยให้ทุนจีนควบคุมกลไกตลาดทุเรียนทั้งระบบ นอกจากความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังอาจนำไปสู่การสูญเสียความมั่นคงทางอาหารและการพึ่งพาตนเองของเกษตรกรไทยในระยะยาว การแก้ไขปัญหาจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
อ้างอิง
https://www.thaipbs.or.th/news/content/350107
https://prachatai.com/journal/2025/02/112226
https://greennews.agency/?p=40377
www.dailynews.co.th/news/4463817
epigramnews.co/environment/cross-border-land-acquisition-by-chinese-capital/
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
สัญญาณอันตราย! เวียดนามแซงไทยในตลาดข้าวคาร์บอนต่ำ แนะเกษตรกรไทยปรับตัวด่วน ก่อนถูกทิ้งห่าง
