ในยุคที่โลกกำลังตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คำว่า “เกษตรคาร์บอนต่ำ” ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราวอีกต่อไป แต่กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการแข่งขันระดับโลก โดยเฉพาะในตลาดข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ที่กำลังปรับตัวสู่ “ข้าวคาร์บอนต่ำ”
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจ! เวียดนาม คู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดข้าวโลก มีศักยภาพในการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำถึง 6.3 ล้านตัน ขณะที่ไทยทำได้เพียง 4 ล้านตัน หรือน้อยกว่าถึง 1.6 เท่า! ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใหญ่ของเกษตรกรไทยที่รออยู่เบื้องหน้า

ทำไมไทยต้องเร่งปรับตัวสู่ “เกษตรคาร์บอนต่ำ”?
กระแสรักษ์โลกกำลังกลายเป็นแรงกดดันสำคัญต่อภาคเกษตรไทย โดยเฉพาะจากสองปัจจัยหลัก
- ด้านอุปทาน – หลายประเทศทั่วโลกตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน รวมถึงภาคเกษตร พร้อมกับเกณฑ์การค้าด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งอาจนำไปสู่กฎระเบียบการค้าที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต
- ด้านอุปสงค์ – ผู้บริโภคในตลาดสำคัญอย่างสหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และต้องการฉลากรับรองที่ชัดเจน
ข้าวไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก!
น่าตกใจที่ภาคเกษตรไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 16% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศ โดย 51% มาจากการปลูกข้าว!
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การผลิตข้าวของไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 2 ในบรรดาผู้ผลิตหลักของโลก ในขณะที่เวียดนามอยู่ในอันดับ 7 เท่านั้น
สาเหตุหลักมาจากวิธีการทำนาแบบดั้งเดิมที่มีน้ำขังในนาข้าว ซึ่งปล่อยก๊าซมีเทนสูงถึง 78% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในการปลูกข้าว

เวียดนามเดินหน้าข้าวคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง
เวียดนามได้กำหนดเป้าหมายชัดเจนที่จะขยายพื้นที่ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำให้ได้ 6.25 ล้านไร่ภายในปี 2030 ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามแซงหน้าไทย
- พื้นที่ชลประทาน – เวียดนามมีพื้นที่ปลูกในเขตชลประทานกว่า 70% ขณะที่ไทยมีเพียง 20%
- ผลผลิตต่อไร่ – เวียดนามมีผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทยเกือบ 2 เท่า
- ต้นทุนการผลิต – เวียดนามมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
- นโยบายรัฐ – มีเป้าหมายชัดเจนและการสนับสนุนอย่างจริงจัง
ความท้าทายของไทยในการผลิตข้าวแบบคาร์บอนต่ำ
แม้จะเป็นเทรนด์โลกระยะยาว แต่ไทยยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ
- ระบบชลประทานที่จำกัด – ไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวในเขตชลประทานเพียง 20% เท่านั้น
- เงินลงทุนเริ่มต้นสูง – การปรับเปลี่ยนเป็นนาข้าวคาร์บอนต่ำต้องลงทุนในการปรับหน้าดินและระบบน้ำ
- เกษตรกรรายย่อย – เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นรายย่อยที่มีเงินทุนจำกัด
- ขาดเป้าหมายชัดเจน – ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมข้าวคาร์บอนต่ำ

ผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทย
แม้ว่าตลาดสหภาพยุโรปจะมีสัดส่วนเพียง 3% ของมูลค่าการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด แต่หากมีการบังคับใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นกติกาการค้าข้าว ไทยจะต้องพร้อมรับมือ
ในช่วงปี 2019-2023 ปริมาณส่งออกข้าวไทยไป EU ลดลงเหลือ 0.24 ล้านตัน จากช่วงปี 2014-2018 ที่ 0.27 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามกลับเพิ่มขึ้นเป็น 0.074 ล้านตัน จาก 0.067 ล้านตัน
การแข่งขันด้านราคาก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย โดยราคาข้าวหอมมะลิไทยในช่วงปี 2019-2024 เฉลี่ยอยู่ที่ 964 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวหอมเวียดนามเฉลี่ยเพียง 521 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

ถึงเวลาที่ไทยต้องปรับตัว
แม้ไทยจะสามารถผลิตข้าวคาร์บอนต่ำได้เพียงพอต่อการส่งออกไปยัง EU แต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคากับเวียดนามที่รุนแรงขึ้น
การปรับเปลี่ยนสู่การผลิตข้าวคาร์บอนต่ำอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและตอบรับกระแสรักษ์โลกที่กำลังมาแรง
หากไทยไม่เร่งปรับตัว อนาคตของการส่งออกข้าวไทยอาจต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อ้างอิง
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
‘ข้าวสารชุบสมุนไพร’ นวัตกรรมการตลาดที่ช่วยชาวนาไทยพ้นวิกฤติราคาข้าวตกต่ำ
