ดร.กอบศักดิ์ คาดการณ์เศรษฐกิจโลก เข้าสู่ช่วงฟื้นตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า ไทยรับอนิสงส์ท่องเที่ยวและการลงทุนต่างประเทศ เปิดรับ ESG เป็นเงื่อนไขลงทุนยุคใหม่ สร้างเครือข่ายยูนิเวิร์ส ยั่งยืน ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ พบ 10 ปีที่ผ่านมา กองทุนESG เติบโต 20% ผลสำรวจพบ ธุรกิจที่ทำESG ส่งผลเชิงบวก ต่อผลการดำเนินงานดีขึ้น
ในปี 2023 ที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนากองทุน THAI ESG ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในบริษัทหรือโครงการที่ให้ความสำคัญกับ Environment (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม), และ Governance (ธรรมาภิบาล) เป็นการลงทุนที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมกับการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลและมีความโปร่งใส โดยมีกระบวนการสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์ที่คำนึงถึงหลักการกระจายความเสี่ยง และกิจกรรมสีเขียว รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการที่ดี
ผู้ลงทุนสามารถนำเงินลงทุนในกองทุนนี้มาลดหย่อนภาษีได้ โดยตั้งแต่ปี 2024 มีการปรับหลักเกณฑ์การลงทุน โดยเพิ่มจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำจาก 100,000 บาท เป็น 300,000 บาท ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาทต่อคนต่อปี สำหรับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2569 โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ลงทุนต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO), สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดงาน “สัมมนาโค้งสุดท้าย ลงทุน ThaiESG” เพื่อสนับสนุนและพัฒนาการลงทุนที่สอดคล้องกับเทรนด์ความรับผิดชอบ ตามหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมให้ภาคนักลงทุน ภาคการเงิน และภาคธุรกิจ มีการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน
5 ปีจากนี้ เศรษฐกิจโลกขาขึ้น รับลงทุนใหม่เปลี่ยนผ่านESG

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้เปิดมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า ว่าจะอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว และภาคการท่องเที่ยว การลงทุนต่างประเทศ และการเติบโตของภูมิภาคอาเซียน จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นจากการสิ้นสุดของปัญหาอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐเริ่มลดดอกเบี้ย ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย เริ่มจากการส่งออกที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความต้องการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่ไทย รวมถึงภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก
ในด้านการท่องเที่ยวของไทยนั้น เริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าในสิ้นปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 36 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนเกิดโควิด-19 การกลับมาครั้งนี้ทำให้เกิดการกระจายตลาด ไม่พึงพาชาติใดชาติหนึ่งเป็นหลัก มีทั้ง จีน สหรัฐฯ และตลาดใหม่ เช่น รัสเซีย อินเดีย และตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDIs) เติบโตขึ้นถึง 43% โดยมูลค่ารวมราว 663,239 ล้านบาท และในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 2567 มีมูลค่าการขอรับการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 722,528 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 42%
สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของไทย คือ ด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากไทยติดอันดับสูงในฐานะจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว โดยกรุงเทพฯ ถูกจัดให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในปี 2024 และได้รับรางวัลในฐานะประเทศที่สวยงามที่สุดในโลกอันดับที่ 6 (World’s Most Beautiful Country)

ในด้านการส่งออก แม้ข้าวอาจมีการแข่งขันที่ยากลำบาก แต่ตลาดอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาที่ไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้การลงทุนถือว่าดีที่สุดในรอบ 10 ปี โดยมีการเติบโตถึง 42% หนึ่งในนั้นคือกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน
ความท้าทายในปีหน้าคือเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลง ภาวะความร้อนแรงของโลก การเติบโตของกลุ่มประเทศอาเซียน และเอเชีย รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองโลก นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่เราต้องรับมือ โดยต้องพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนา เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเข้าสู่โลกสีเขียว พร้อมกับการปรับตัวไปสู่การเป็นพลเมืองโลกและสังคมเมืองที่ขยายตัว

ทิศทางเหล่านี้สอดคล้องกับการลงทุนด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)
นอกจากนี้ ยังมีสงครามการค้าที่มีแนวโน้มว่าทางสหรัฐจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ส่งผลให้ผู้ผลิตจากจีนต้องย้ายฐานการผลิตไปยังภูมิภาคอาเซียน กลุ่มการลงทุนใหม่ที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีชั้นสูงตามกฎเกณฑ์โลกกำลังเกิดขึ้น
“ช้างสารชนกันหญ้าแพรก อาจไม่แหลกลาญ เพราะบริษัทเล็กๆ อาจจะโดนภาษีเพียง 10% ขณะที่สินค้าจากจีนโดนภาษี 60% ทำให้สินค้าจากจีนแข่งขันได้และได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิต”
ESG จากแนวคิดสวยงามสู่เงื่อนไขทำธุรกิจ
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ESG (Environment, Social, and Governance) เป็นแนวคิดที่เราได้ยินมานาน แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการนำไปใช้จริงในกระบวนการลงทุนและการตัดสินใจของผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่คำพูดที่ช่วยให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ดีเท่านั้น แต่ต้องมีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน หากไม่ดำเนินการตามแนวทางนี้ ธุรกิจอาจถูกขับออกจากระบบ นี่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืนขององค์กร
“ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นนักลงทุนพูดถึง ESG เป็นมากกว่าการนำเสนอภาพลักษณ์ที่สวยงาม แต่ต้องลงมือทำจริง เช่นเดียวกับนางงามที่พูดถึงการรักเด็ก ธุรกิจและการลงทุนต้องรักสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยสร้างความไว้วางใจจากกองทุนการเงินระดับโลกที่ก่อนหน้านี้อาจมองว่าเป็นเพียงกิมมิก แต่ตอนนี้กระแสนี้กำลังมาแรง หากบริษัทใดไม่เข้าหมายความว่าพวกเขาจะสูญเสียโอกาสในการได้รับการสนับสนุน”
ไทย ศูนย์กลางการลงทุนและการเป็นผู้นำใน ESG
ประเทศไทยถือว่ามีความได้เปรียบและเป็นผู้นำด้าน ESG ในภูมิภาค เนื่องจากมีทรัพยากรป่าไม้ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกป่า ลงทุนไม่น้อย และง่ายต่อการบริหารจัดการเพื่อลดคาร์บอน นอกจากนี้ ภาคธุรกิจไทยยังมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงความสัมพันธ์ในการช่วยเหลือชุมชน อาทิ การบริจาคให้กับวัดและโรงเรียน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจที่มุ่งมั่นช่วยเหลือสังคมมาตลอด ทำให้ประเทศไทยมีอนาคตที่สดใสในการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทาง ESG

กองทุน ESG โลกคึกคัก 10 ปี เติบโต 20%
พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนใน ESG ได้รับความสำคัญมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนต้องการธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการขยาย
จำนวนผู้ลงทุนและผู้ลงนามในหลักปฏิบัติการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (PRI) ตั้งแต่ปี 2006 ถึงสิ้นเดือนกันยายน 2024 เติบโตขึ้น 20% โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 5,348 ราย มูลค่าสินทรัพย์ที่บริหาร (AUM) อยู่ที่ 128 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า ESG ส่งผลดีต่อผลประกอบการโดยตรง ถึง 58% ขณะที่บริษัทที่มีการปฏิบัติตามหลัก ESG มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนอย่างมาก

ผลการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ESG และผลการดำเนินงาน
ผลการศึกษาบทบาทของ ESG ต่อผลประกอบการของบริษัทและผลตอบแทนจากการลงทุนที่จัดทำโดย NYU Stern และ Rockefeller Asset Management ในปี 2021ระบุถึงความสำคัญESG ดังนี้คือ
-ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์เชิงบวก 58% ที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน และส่วนน้อยมีความสัมพันธ์เชิงลบ 8%
– ผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทที่มีการปฏิบัติตามหลัก ESG มีค่าดีมากกว่าบริษัททั่วไป โดย 33% แสดงถึงผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับ 26% ของการลงทุนแบบดั้งเดิม
– การดำเนินการด้าน ESG จะส่งผลดีในระยะยาว ทำให้ต้องนำมาคิดในกลยุทธ์การลงทุนอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลในทางที่ดีต่อไป
นอกจากนั้น การมีมาตรฐาน ESG ที่ดีได้ช่วยลดต้นทุนเงินทุนของบริษัทประมาณ 88% และราคาในตลาดหุ้นเคลื่อนไหวในเชิงบวกจากการมีวิธีปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่ดี ถือเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ESG ไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นแนวทางที่มุ่งสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน.
-ผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีขึ้น เกิดจากการทำ ESG จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น จึงต้องรวมไปอยู่ในกลยุทธ์การลงทุน ที่ดีกว่าการใส่ในภายหลัง Negative screening ซึ่งหาแก้ไขจะมีพัฒนาการเชิงบวก สามารถ กลับมาเติบโตโดดเด่นกว่าผู้นำตลาด
-การศึกษามาตรฐาน ESG ที่ดี ยังช่วยลดต้นทุนเงินทุนของบริษัท (cost of capital) 88% โดยพบว่า ESG ที่ดีส่งผลให้บริษัทมี ผลการดำเนินงานดีขึ้น และ 80% ของการศึกษาพบว่าราคาหุ้นเคลื่อนไหวในเชิงบวกจากการมีวิธีปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่ดี
