เบทาโกร รุกร่วมลงทุน นวัตกรรมเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง ก้าวสู่อนาคตอาหารที่ยั่งยืน

เบทาโกร รุกร่วมลงทุน นวัตกรรมเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง ก้าวสู่อนาคตอาหารที่ยั่งยืน

“BETAGRO Ventures” หน่วยงานด้านการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมภายใต้ บมจ.เบทาโกร การลงทุนเชิงกลยุทธ์กับ “Meatable” บริษัทสตาร์ทอัพเทคโนโลยีจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ผลิตโปรตีนที่ยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีการผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultivated Meat) เสริมสร้างการเติบโตของทั้งสองบริษัทในตลาดเอเชีย ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารสู่อนาคตที่ยั่งยืน

 

 

“โปรตีนแห่งอนาคต” นอกเหนือจากเนื้อสัตว์ ที่ได้จากอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ดั้งเดิมในฟาร์มเลี้ยง กำลังถูกจับตามอง ในภาวะวิกฤตโลกร้อน ที่นอกจากจะส่งผลกระทบผู้คนบนโลกแล้ว ยังส่งผลต่อภาคปศุสัตว์ จนอาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหารในอนาคต ภาคปศุสัตว์ยังเป็นอีกภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (มีเทน) ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม 

โดยหนทางหนึ่งที่จะออกจากปัญหานี้ คือ การนำ “นวัตกรรม”  มาสนับสนุน เช่น นวัตกรรมเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultivated Meat) ซึ่งทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ รวมถึงในประเทศไทย ที่ล่าสุดผู้ผลิตอาหารครบวงจรรายใหญ่ของไทย โดดลงมาเล่นในสนามนี้ เพื่อแสวงหาโอกาส ลดความเสี่ยงภาคปศุสัตว์จากภาวะโลกร้อน ยกระดับสู่การผลิตอาหารแห่งอนาคต 

 

 

 

 

-เบทาโกร ร่วมลงทุนบริษัทสตาร์ทอัพเนเธอร์แลนด์

ผลิตโปรตีนยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง

โดย BETAGRO Ventures หน่วยงานด้านการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมภายใต้ บริษัท  เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG บริษัทอาหารครบวงจรรายใหญ่ของไทย ได้ประกาศการลงทุนเชิงกลยุทธ์กับ “Meatable” บริษัทสตาร์ทอัพเทคโนโลยีด้านอาหารจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ผู้พัฒนาและผลิตโปรตีนที่ยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีการผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultivated Meat)  

 

 

 

 

-ก้าวสำคัญยกระดับอุตสาหกรรมอาหารสู่อนาคตยั่งยืน 

นายชยธร แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG และกรรมการผู้จัดการ Betagro Ventures กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการร่วมมือทางธุรกิจที่จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของทั้งสองบริษัทในตลาดเอเชีย ทั้งยังสอดคล้องกับจุดประสงค์ของ 2 องค์กรในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารสู่อนาคตที่ยั่งยืน

 การร่วมลงทุนดังกล่าว ยังสอดคล้องกับแนวทางของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงอาหารคุณภาพสูงของผู้บริโภค การสร้างแหล่งโปรตีนใหม่ที่ยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนาห่วงโซ่ธุรกิจอาหารของเบทาโกรให้มีความแข็งแกร่งนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน และยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของไทยในที่สุด

 

 

-ใช้เทคโนโลยีสเต็มเซลล์ ผลิตเนื้อหมู เนื้อวัว 

ไม่ต้องเลี้ยงหรือฆ่าสัตว์ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

“การลงทุนใน Meatable ครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเบทาโกรในการสร้างนวัตกรรมและขับเคลื่อนความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเราเชื่อมั่นในศักยภาพและวิสัยทัศน์ของ Meatable ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านอาหารของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่มีเทคโนโลยีการผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง โดยใช้เทคโนโลยี opti-ox™ ช่วยให้เซลล์สามารถเพิ่มจำนวนและเปลี่ยนเป็นเซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ไขมันที่สมบูรณ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ที่ได้รับการยอมรับจากนิตยสาร TIME ว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ดีที่สุดของปี 2024 สามารถผลิตเนื้อหมูและเนื้อวัวคุณภาพสูงที่มีรสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการเหมือนเนื้อสัตว์ที่ผลิตแบบดั้งเดิม โดยไม่ต้องเลี้ยงหรือฆ่าสัตว์ ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการลดใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์ความต้องการโปรตีนที่ยั่งยืนในตลาดโลกได้” 

นอกจากนี้ การลงทุนใน Meatable ยังสอดคล้องกับจุดประสงค์ในการดำเนินธุรกิจของเบทาโกร ที่มุ่งมั่นเพิ่มคุณค่าชีวิตของทุกคนด้วย “อาหารที่ดีกว่า (Better Food)” นั่นคือ การผลิตด้วยมาตรฐานและความปลอดภัยขั้นสูงสุด มาพร้อมคุณภาพและความอร่อยที่เหนือกว่า ในราคาที่เป็นธรรม และการผลิตอย่างยั่งยืนอีกด้วย

 

 

 

 

-จากอุตสาหกรมเนื้อสัตว์ดั้งเดิม รุกสู่การผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง

ขณะที่ นายเจฟฟ์ ทริพิเชียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Meatable กล่าวว่ารู้สึกยินดีที่เบทาโกร ในฐานะผู้ร่วมลงทุนรายแรกจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ดั้งเดิม ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ไม่แต่เพียงยืนยันศักยภาพของเทคโนโลยีเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง ยังถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าหนึ่งในผู้ผลิตอาหารรายใหญ่อย่างเบทาโกร พร้อมที่จะสนับสนุนนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคตที่ยั่งยืน และการมีพันธมิตรที่เข้าใจตลาดเอเชีย พร้อมกับเครือข่ายที่กว้างขวางของเบทาโกร 

“เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถขยายการนำเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงสู่ผู้บริโภคในตลาดเอเชียได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”