“เริ่ม เพื่อ รอด” สองต้นแบบธุรกิจเอสเอ็มอีไทย สู่ความยั่งยืนในยุค ESG

“เริ่ม เพื่อ รอด” สองต้นแบบธุรกิจเอสเอ็มอีไทย สู่ความยั่งยืนในยุค ESG

ตัวอย่างธุรกิจ SME ไทยที่นำหลักการ ESG มาใช้ประสบความสำเร็จ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทั้งยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อแสดงให้เห็นชัดว่าเริ่มก่อน รอดก่อน พร้อมดึงดูดโอกาสทางการเงินและการตลาดใหม่ๆ

 

 

ธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย โดยเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสร้างการจ้างงานจำนวนมาก ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิตสินค้าบริการ ไปจนถึงเทคโนโลยีดิจิทัล 

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาธุรกิจให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันนั้นไม่ใช่แค่การทำกำไร แต่ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำไปสู่ความสำคัญของการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG หรือ Environmental, Social, Governance (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)

หลักการ ESG ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัวตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ยังช่วยสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนและลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม การน้อมนำ ESG มาปรับใช้ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้ทรัพยากร การใส่ใจสุขภาพพนักงาน หรือการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว

 

 

พัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีไทย 

สู่ความยั่งยืนด้วยหลักการ ESG

ทั้งนี้การสร้างความยั่งยืนในองค์กรเป็นมากกว่าการมุ่งเน้นผลกำไร แต่ยังรวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารด้วยความโปร่งใสอย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งมีองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนี้

  1. การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

องค์กรควรเริ่มจากการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบที่การดำเนินงานมีต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการจัดการของเสีย เพื่อค้นหาจุดที่สามารถลดผลกระทบได้ ตัวอย่างเช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การลดปริมาณน้ำและพลังงานในกระบวนการผลิต เป็นต้น

  1. สร้างความรับผิดชอบต่อสังคม

องค์กรควรมีบทบาทในการตอบแทนสังคม โดยการมีส่วนร่วมในชุมชนรอบข้าง เช่น การจ้างงานจากชุมชน การสนับสนุนโครงการพัฒนาสังคม หรือการให้ความสำคัญกับสิทธิของพนักงานและสภาพการทำงานที่ดี สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับสังคม

  1. การบริหารจัดการด้วยธรรมาภิบาล  

การดำเนินงานอย่างมีธรรมาภิบาลเน้นไปที่ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการบริหารงานอย่างมีจริยธรรม องค์กรสามารถสร้างแนวทางในการตัดสินใจที่โปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลต่อผู้เกี่ยวข้อง และมีการตรวจสอบภายในที่เข้มงวด ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและสังคม

 

 

 

 

โชว์เคสธุรกิจตอบสนองความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม

บริษัท บีซีแอล 2002 จำกัด เป็นตัวอย่างโดดเด่นของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยที่ปรับตัวเข้าสู่แนวคิดการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เส้นใยนวัตกรรมภายใต้แบรนด์ PERMA โดยใช้ PERMA Nano Zinc เทคโนโลยีที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีการฝัง Nano Zinc ลงในเนื้อเส้นใยโดยไม่พึ่งสารเคลือบหรือโลหะหนัก ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

 

 

 

 

เชาว์ เมธาเพิ่มสุข Head of R&D บริษัท บีซีแอล 2002 จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทไม่เพียงแต่เน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและรักษ์โลก แต่ยังมองเห็นความสำคัญของ แนวคิด ESG ซึ่งเป็นหลักการที่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, Governance) ธุรกิจเอสเอ็มอีซึ่งเป็นส่วนสำคัญของซัพพลายเชนไทยจำเป็นต้องปรับตัวตามแนวทางนี้เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดระยะยาว ไม่เช่นนั้นจะเสียโอกาสในการค้าขายและเติบโตในอนาคต

 

 

 

 

ตัวอย่างธุรกิจ 

จัดการขยะให้เป็นศูนย์ 

บริษัท เอ็นจีเอ็ม – เอ็กซ์ จำกัด เป็นผู้เริ่มทำ Solution Down Gauging หรือ การลดปริมาณการใช้เม็ดพลาสติกในการผลิต โดยการใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง ทำให้สามารถลดขนาดความหนาของพลาสติกลงได้ แต่ยังคงประสิทธิภาพดังเดิม

เริ่มต้นด้วยความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ในแง่การรักษาสิ่งแวดล้อม บริษัทจึงได้พัฒนา “Re-Flex” หรือบรรจุภัณฑ์ Recyclable Nylon Pouch ที่สามารถรีไซเคิลได้ โดยเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่สามารถนำพลาสติกแบบ ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-Use) กลับมาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้สำเร็จ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

 

 

กนกพงษ์ พงษ์ธรรมรักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็นจีเอ็ม-เอ็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเน้นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) โดยเศษพลาสติกที่เหลือจากการผลิตจะถูกนำไปรีไซเคิลและส่งต่อให้บริษัททำถุงขยะ ใช้นวัตกรรมที่คำนึงถึงความปลอดภัยและมาตรฐานสูงสุด โดยได้รับการรับรองจากทั้งศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติในไทย และ APR ในสหรัฐฯ ที่สนับสนุนกระบวนการรีไซเคิลพลาสติกอย่างยั่งยืน ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการยอมรับในตลาดทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม กนกพงษ์ยังให้ความสำคัญกับเป้าหมายและความต้องการของพนักงาน 

เข้าใจเป้าหมาย การทำงานของพนักงาน และความตั้้งใจในชีวิต อยากทำอะไร อยากเติบโตแบบไหน จึงมอบประกันสะสมทรัพย์เพื่อความมั่นคง ให้พนักงานได้เห็นภาพอนาคตและเติบโตไปพร้อมกับองค์กร”

 

 

 

 

เส้นทางการเรียนรู้ ESG

พิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับเอสเอ็มอีจำนวนมาก พบว่า ความท้าทายสำคัญในการปรับตัวเข้าสู่กระแส ESG ประกอบไปด้วย 5 ปัญหาหลัก ได้แก่ 

1.ขาดความรู้และความเข้าใจในแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน 2.ความกังวลเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น 3.ขาดเงินทุนและสภาพคล่องเพียงพอ 4.คู่ค้าที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับการปรับตัวตามแนวทาง ESG และ 5.ความตระหนักรู้ในกลุ่มพนักงานยังค่อนข้างจำกัด

ธนาคารไทยพาณิชย์ จึงได้ต่อยอดแนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” สู่ลูกค้าเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ “เริ่ม เพื่อ รอด” โดยตั้งเป้าเปลี่ยนกระแสความยั่งยืนให้เป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีศักยภาพ เตรียมจัดสรรเงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการพร้อมให้คำปรึกษาด้านการปรับตัวธุรกิจ รวมถึงการเปิดตัว “Mentor 4 Sustainability” ซึ่งแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนในธุรกิจหลากหลาย 

ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนมาถ่ายทอดเทคนิคและประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งเป้าจะช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเปลี่ยนผ่านสู่แนวทางยั่งยืนไม่น้อยกว่า 1,000 ราย พร้อมอัดฉีดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท