เมื่อ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ผู้ซึ่งเคยประกาศจะฉีกข้อตกลงปารีส ที่นานาชาติร่วมกันลงนามลดโลกร้อน เขายังประกาศจะฟื้นการขุดเจาะฟอสซิล กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย ที่อาจเดินสู่จุดจบของการแก้ไขปัญหาโลกร้อน เมื่อมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก และอันดับ 2 ของผู้ปล่อยมลพิษโลก หันหลังให้กับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
แปลโดย: วันทนา อรรถสถาวร
ความวิตกกังวลที่กำลังก่อตัวขึ้นในหมู่บรรดานักการทูตที่มารวมตัวกันที่กรุงบากู เมืองหลวงของอาเซอร์ไบจาน ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (11พ.ย.2567) เพื่อร่วมการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of the Parties – COP) ครั้งที่ 29 หรือ COP29 และด้วยเหตุผลที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้ง โดยเขาได้ให้คำมั่นว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ซึ่งผูกมัดประเทศต่างๆ ทั่วโลกเกือบทั้งหมดให้ลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมาก เพื่อร่วมกับบรรลุเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 อาศาเซลเซียส ในปี 2573 หรือในอีก 5 ปีจากนี้
ในทางกลับกัน ทรัมป์ยังเตรียมที่จะฟื้นวาระ ‘เจาะ ๆ’ หรือที่เรียกว่า “drill baby, drilling” ของเขาขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากจุดเขาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของอเมริกาให้มากขึ้น
การกลับลำนโยบายสภาพภูมิอากาสของทรัมป์ ส่งผลเสียต่อโลก
จอห์น โพเดสตา ที่ปรึกษาอาวุโสด้านพลังงานสะอาดของทำเนียบขาว ซึ่งเป็นผู้นำคณะผู้แทนสหรัฐฯ ในการประชุม COP29 กล่าวว่า เรายังมีงานอีกมากมายที่ต้องทำ และผมคิดว่าเรามีเวลาประมาณ 72 วันที่จะทำให้เสร็จ
ทั้งนี้ การกลับลำในนโยบายด้านสภาพอากาศของสหรัฐฯ อาจส่งผลเสียหายต่อโลก เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลียนแบบ เมื่ออเมริกาดำเนินการบางอย่างบนเวทีโลก อย่างน้อยบางประเทศก็มีแนวโน้มที่จะทำตาม
โอลิ บราวน์ นักวิจัยร่วมจาก Chatham House ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยในลอนดอนกล่าวว่า ปารีสเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่คุณต้องมีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและผู้ปล่อยมลพิษจำนวนมากทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงจะสามารถจัดการกับความท้าทายนี้ได้
“การที่สหรัฐฯซึ่งไม่ผูกพันตามข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศใดๆ ถือเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะสหรัฐฯเป็นผู้ก่อมลพิษคาร์บอนทำให้โลกร้อนมากเป็นอันดับสองของโลก และยังผลิตน้ำมันมากกว่าประเทศอื่นๆ”
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก จึงมีอำนาจมากกว่าประเทศอื่นในการระดมทุนเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่เมื่อนโยบายทรัมป์ บอกว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ จึงไม่น่าจะใจป้ำให้เงินช่วยเหลือและเงินกู้เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียวของประเทศอื่นๆ มากไปกว่านี้
นักวิจัยรายนี้ ยังระบุว่า เพียงเท่านี้ก็ทำให้การเจรจาล้มเหลวแล้ว เป้าหมายหลักคือการตกลงที่จะโอนเงิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีจากประเทศร่ำรวยและสถาบันต่างๆ เพื่อช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาสร้างระบบพลังงานสะอาด และปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศเลวร้ายที่เลวร้ายลง เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ และไฟป่า
การเจรจา COP 29 ล้มเหลว
การเจรจา COP29 ดูเหมือนจะไม่น่าตื่นเต้นนัก เว้นเสียแต่สิ่งที่สะดุดตากว่ารายชื่อผู้นำที่กล่าวเปิดงาน คือ รายชื่อผู้ที่ไม่ยอมไปร่วมงานเลย ได้แก่ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ เอ็มมานูเอล มาครงแห่งฝรั่งเศส เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน เลขาธิการสหภาพยุโรป และแม้กระทั่งคลอเดีย เชนบอม นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศที่กลายมาเป็นประธานาธิบดีของเม็กซิโก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้นำที่จะหมดวาระลง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่จากกลุ่มตาลีบันจะเข้าร่วมการเจรจาในฐานะผู้สังเกตการณ์แบบเซอร์ไพรส์ ซึ่งถือเป็นการปรากฏตัวที่กลุ่มตาลีบันเข้าร่วมการประชุมพหุภาคีไม่บ่อยนัก นับตั้งแต่ยึดครองอัฟกานิสถานได้ในปี 2021 หลังจากที่สหรัฐฯ ถอนทัพอย่างวุ่นวาย
สำหรับโลกแล้ว จังหวะเวลาที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ ความวุ่นวายทั่วโลกก็เลวร้ายอย่างยิ่ง !
ไม่มีสหรัฐฯ อยู่ด้วยในข้อตกลงปารีส ประเทศอื่นๆ อาจพิจารณา ออกจากข้อตกลงปารีสด้วยเช่นกัน
สหรัฐฯถอย หวั่น ‘จีน’ เสียบ
เข้ามามีอิทธิพลด้านสภาพอากาศ
สิ่งที่น่ากังวลขณะนี้ก็คือ เมื่อมีกระแสไม่มากนักและความกังวลอีกประการหนึ่งของกลุ่มสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ การที่ผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯฉีกข้อตกลงปารีส อาจเปิดประตูให้ ‘จีน’ เข้ามามีบทบาทและสร้างอิทธิพลในระดับโลกมากขึ้น
โดยจีนกำลังเปลี่ยนสถานะของตนในฐานะประเทศที่สร้างปัญหาด้านสภาพอากาศอย่างรวดเร็วให้กลายเป็นประเทศที่ร่วมแก้ไขปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ จีนกำลังสร้างฟาร์มพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วกว่าประเทศอื่นใดในโลก และขายไปยังทุกมุมโลก จีนกำลังสร้างพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในระดับสาธารณูปโภคเกือบสองในสามของโลก
สหภาพยุโรปจะต้องก้าวเข้ามาเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่สหรัฐฯทิ้งไว้
หลี่ ซัว ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิอากาศจีนแห่งสถาบันนโยบายของสมาคมเอเชีย กล่าวว่า เขาชอบที่จะคิดเกี่ยวกับการเมืองด้านสภาพอากาศของโลกเป็นสามล้อประกอบด้วย สหภาพยุโรป จีน และสหรัฐอเมริกา
“คุณต้องมีล้ออย่างน้อยสองล้อจึงจะทำงานได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง เราเพิ่งพลาดไปหนึ่งล้อ และเราต้องการอีกสองล้อเพื่อขับเคลื่อนและพาเราไปข้างหน้า”
ทั้งนี้ การไม่ดำเนินการใดๆ ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับสภาพอากาศเป็นเวลาอีกสี่ปีจากนี้ หากเป็นเช่นนัน ถือเป็นแนวโน้มที่อันตรายยิ่งขึ้นในโลกที่มีความไม่แน่นอน
โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การทลายขีดจำกัดความร้อนที่สำคัญ
เมื่อสิ้นปีนี้ โลกจะถึงจุดกึ่งกลางของทศวรรษที่วิทยาศาสตร์ระบุว่า เป็นช่วงสำคัญในการพลิกกระแสการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจะต้องลดลงเหลือครึ่งหนึ่งภายในระยะเวลา 10 ปี เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งหากเกินกว่านั้น มนุษย์จะต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัว
โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้ว 1.3 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่มนุษย์จะเริ่มเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับอุตสาหกรรม แม้ว่าประเทศต่างๆ ในข้อตกลงปารีสจะลดการปล่อยมลพิษคาร์บอนได้เท่ากับที่สัญญาไว้ก็ตาม แต่ในกรณีที่ดีที่สุด พวกเขาสามารถจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิได้เพียง 1.9 องศาเซลเซียสเท่านั้นตามรายงานล่าสุดของสหประชาชาติ แต่ข้อเท็จจริงพวกเขากลับทำให้โลกร้อนขึ้น 2.3 องศาเซลเซียส
ดังที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ กล่าวไว้ว่า ทุกเศษเสี้ยวขององศามีความสำคัญ
คลื่นความร้อนรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นทุก 50 ปีเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส ปัจจุบันเกิดขึ้นทุก 10 ปี โจเอรี โรเกลจ์ (Joeri Rogelj) ศาสตราจารย์ด้านสภาพอากาศจาก วิทยาลัยอิมพีเรียลลอนดอน (Imperial College London) กล่าว
โดยอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส จะทำให้คลื่นความร้อนลักษณะเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นทุก ๆ 6 ปี และหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส คลื่นความร้อนดังกล่าวก็จะเกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี ซึ่งเป็นเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน โรเกลจ์ กล่าวกับ CNN
ทรัมป์แต่งตั้งอดีตสมาชิกสภาคองเกรส ลี เซลดิน
ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ทรัมป์ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (11 พ.ย.2567) ว่าเขาจะแต่งตั้งนายลี เซลดิน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม
ทรัมป์ โพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาที่ชื่อว่า Truth Social ว่า เขาจะทำให้แน่ใจว่าได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการยกเลิกกฎระเบียบต่างๆเป็นไปอย่างยุติธรรมและรวดเร็ว ซึ่งจะถูกบังคับใช้ในลักษณะลดข้อจำกัดของภาคธุรกิจสหรัฐฯลง ในขณะเดียวกันก็รักษามาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมให้สูงที่สุด ซึ่งรวมถึงอากาศ และน้ำที่สะอาดที่สุดในโลกด้วย
ทูตระดับสูงของไบเดนเผยการต่อสู้กับสภาพอากาศ
‘ยิ่งใหญ่กว่าการเลือกตั้งครั้งเดียว’
อย่างไรก็ตาม ทูตพิเศษของสหรัฐฯ กล่าวในวันเปิดการประชุม COP29
ว่า สหรัฐฯ จะยังคงต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและควบคุมการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนต่อไป แม้ว่าทรัมป์จะได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ก็ตาม
จอห์น โพเดสตา ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลไบเดน กล่าวถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ว่า เป็นผู้ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกล่าวว่า เขาจะรื้อถอนมาตรการปกป้องสิ่งแวดล้อม
การเลือกตั้งของทรัมป์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วถือเป็นพัฒนาการที่น่าเป็นห่วงสำหรับการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวไว้อย่างน้อยในระยะสั้น
“เขาให้คำมั่นว่าจะรื้อถอนมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของเรา และถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสอีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่เขาพูดและเราควรเชื่อเขา” นายโพเดสตา กล่าว
ทั้งนี้ ตามข้อตกลงปารีสปี 2015 ประเทศต่าง ๆ ตกลงที่จะพยายามรักษาระดับอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ผู้นำจากเกือบ 100 ประเทศจะกล่าวปราศรัยในที่ประชุมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
COP29 ถูกกำหนดให้เป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาสำคัญในการส่งเงินไปให้ประเทศยากจนเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในการจัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและช่วยให้พวกเขาเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบดังกล่าว
แต่ความคาดหวังถึงผลสำเร็จของการประชุมสุดยอดครั้งนี้ลดลงจากชัยชนะของทรัมป์ ซึ่งทำให้ผู้เจรจาของรัฐบาลไบเดนจากหนึ่งในประเทศที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุดในโลกกลายเป็นเป้าอ่อนในกระบวนการนี้ และไม่สามารถสัญญาอะไรได้มากนัก
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการต่อสู้ นายโพเดสตา กล่าวกับผู้สื่อข่าว
เขาเชื่อว่าจากนโยบายที่ประธานาธิบดีไบเดนวางไว้ รวมถึงการสนับสนุนของรัฐและเมืองต่างๆ ปริมาณการปล่อยก๊าซของสหรัฐฯ จะลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในอัตราที่ช้าลงก็ตาม
“การต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าการเลือกตั้ง วงจรการเมือง และประเทศเดียว การต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าเพราะเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางปีแห่งวิกฤตสภาพอากาศในทุกประเทศทั่วโลก”
เพื่อเป็นหลักฐานว่าประเทศต่างๆ จะยังคงก้าวหน้าในประเด็นนี้ต่อไป เนื่องจากไม่มีผู้นำจากสหรัฐฯ ผู้แทนจึงได้ลงนามส่วนประกอบสุดท้ายซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดของข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในคืนแรกของการประชุม COP29
นั่นหมายความว่าตอนนี้สามารถจัดตั้ง ‘ตลาดคาร์บอน’ ระดับโลกได้แล้ว ซึ่งจะทำให้ประเทศที่ร่ำรวยกว่าสามารถจ่ายเงินสำหรับโครงการในประเทศกำลังพัฒนาที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใช้เงินจำนวนนี้เพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศ คาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกหลักที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์
ข้อเสนอนี้มีความน่าสนใจสำหรับประเทศที่ร่ำรวยในยุโรปเป็นอย่างมาก เนื่องจากการจ่ายเงินเพื่อสร้างฟาร์มกังหันลมในที่ใดที่หนึ่งในแอฟริกานั้นมีราคาถูกกว่าการอุดหนุนปั๊มความร้อนในประเทศมาก
การตกลงกันในเรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก มีข้อกังวลเกี่ยวกับการฉ้อโกงและการกำจัดคาร์บอนนั้นเกิดขึ้นจริงและถาวรหรือไม่
และแม้ว่ากฎหมายนี้จะผ่านการลงมติไปแล้ว แต่ข้อกังวลบางประการก็ยังคงอยู่ แต่ผู้สนับสนุนบอกว่ากฎหมายนี้จะทำให้เกิดกิจกรรมทางการตลาดมากมาย มูลค่าสูงถึง 250,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งไหลจากคนรวยไปสู่คนจน
ปฏิกิริยา: เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น พลังงานหมุนเวียนลดลง
หลังจากที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ ตลาดก็ตอบสนองอย่างเด็ดขาด หุ้นเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึง ExxonMobil และ Chevron พุ่งสูงขึ้น ทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นพลังงานหมุนเวียน เช่น Orsted และ Siemens Energy ลดลงมากถึง 10% เมื่อพิจารณาจากการกระทำของทรัมป์ในวาระแรกของเขาแล้ว นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง ผู้เข้าร่วมตลาด ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมหลายคนที่ฉันได้พูดคุยด้วยในช่วงสองวันที่ผ่านมายังคงรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนคาดไม่ถึง แต่ตามที่ฉันได้เน้นย้ำไว้ในบันทึกก่อนหน้านี้ในปีนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของความเป็นไปได้ โดยมีอัตราต่อรองที่เอื้ออำนวยมากกว่าที่จะคัดค้าน สัญญาณล่าสุด โดยเฉพาะการชะลอตัวของ ESG และพลังงานหมุนเวียน และการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล แสดงให้เห็นว่าบริษัทการเงินและพลังงานกำลังเดิมพันกับเรื่องนี้
ความพยายามทั่วโลกในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นล้มเหลวแล้ว
นับตั้งแต่การประชุม COP28 มีอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การถอนตัวของ ESG และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของฝ่ายขวา อย่างไรก็ตาม ฝ่ายขวาพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งนี้หรือไม่ มาสำรวจกัน
การดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์: เรื่องราวต่อต้านสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนฟอสซิล
ทั้งนี้ ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งแรก รัฐบาลของเขาได้ดำเนินการยกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับและส่งเสริมการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งรวมถึง:
การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส: ทรัมป์ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสซึ่งเป็นข้อตกลงสำคัญ ส่งผลให้ข้อตกลงและคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศทั่วโลกถูกยกเลิก
การย้อนกลับของ EPA: กฎระเบียบของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) ถูกยกเลิกเกี่ยวกับขีดจำกัดการปล่อยมลพิษสำหรับโรงไฟฟ้า มาตรฐานคุณภาพอากาศ และกฎระเบียบเกี่ยวกับน้ำสะอาด โดยมีการยกเลิกหรือทำให้การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมมากกว่า 100 ฉบับอ่อนแอลง มาตรฐานการปล่อยไอเสียของยานพาหนะ: กฎเกณฑ์ยานยนต์ประหยัดเชื้อเพลิงที่ปลอดภัยและราคาไม่แพง (Safer Affordable Fuel-Efficient: SAFE) ลดข้อกำหนดประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ทำให้การลดการปล่อยไอเสียหยุดชะงัก
กฎระเบียบเกี่ยวกับก๊าซมีเทน: ในภาคส่วนน้ำมันและก๊าซได้รับการผ่อนปรน ทำให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีฤทธิ์รุนแรงนี้เพิ่มขึ้น
สัญญาเช่าขุดเจาะนอกชายฝั่ง: ทรัมป์ได้คืนสัญญาเช่าขุดเจาะน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง รวมถึงเปิดน่านน้ำของรัฐบาลกลางนอกชายฝั่งอลาสก้าและชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก
การขุดเจาะบนที่ดินสาธารณะ: ที่ดินของรัฐบาลกลางเปิดให้ขุดเจาะอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภูมิภาคที่อ่อนไหวต่อระบบนิเวศ
สำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA): ทรัมป์เสนอให้แปรรูปบางส่วนของ NOAA ลดการวิจัยสภาพอากาศ และจำกัดทรัพยากรสำหรับการคาดการณ์สภาพอากาศ
ในระหว่างนี้ ในขณะที่การอนุมัติโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งบางส่วนหยุดชะงัก เครดิตภาษีการผลิตและแรงจูงใจสำหรับโครงการบนบกยังคงดำเนินต่อไป ส่งผลให้การติดตั้งพลังงานลมเพิ่มขึ้น 45% และพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเกือบ 100% ในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เสนอโดย EPA หลายฉบับถูกศาลปฏิเสธในภายหลัง ในสมัยของไบเดน สหรัฐฯ ได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยพระราชบัญญัติลดอัตราเงินเฟ้อด้วยการแจกเงินกว่า 370,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนและการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลไบเดนยังคงดำเนินนโยบายของทรัมป์ในการสนับสนุนการผลิตน้ำมันและก๊าซ (โดยเฉพาะหลังสงครามยูเครน) โดยปัจจุบันการผลิตและการส่งออกน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ – การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
นโยบายที่คาดการณ์ไว้ของทรัมป์ ซึ่งอิงจากบันทึกและคำแถลงในช่วงหาเสียงในสมัยก่อน ชี้ให้เห็นถึงการดำเนินนโยบายต่อต้านสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในกรณีส่วนใหญ่ จะมีช่องว่างระหว่างสิ่งที่นักการเมืองให้คำมั่นก่อนการเลือกตั้งและสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติตามหลังการเลือกตั้ง แต่ช่องว่างสำหรับทรัมป์ในวาระแรกของเขากลับกว้างกว่ามาก
อย่างไรก็ตาม หลายคนคาดว่าช่องว่างนี้จะแคบลงในช่วงนี้ เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แข็งแกร่งในการจัดระเบียบและดำเนินการ ดังนั้น กรณีพื้นฐานจึงเป็นความสอดคล้องกันระหว่างวาทศิลป์และการกระทำมากขึ้น
ผลกระทบในประเทศ
พลังงานลมนอกชายฝั่งเป็นเป้าหมายหลักของแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ โดยมีคำแถลงชัดเจนว่าเขาจะยกเลิก/หยุดโครงการ อย่างไรก็ตาม โครงการที่มีอยู่ซึ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกลางน่าจะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดการเรียกร้องและการฟ้องร้องจากผู้ที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม โครงการจำนวนมากที่ยังคงรอการเช่าและใบอนุญาตจาก BOEM/รัฐบาลกลางนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดความล่าช้าหรือการยกเลิก ซึ่งหลายโครงการอาจตั้งอยู่ในรัฐเดโมแครต
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมบนบกโดยทั่วไปแล้วนำโดยรัฐบาลของรัฐและรัฐบาลกลางไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าทรัมป์จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับแผงโซลาร์เซลล์และกังหันลม (ส่วนประกอบ) ที่นำเข้า โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนและลดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ เครดิตภาษีการผลิตและการลงทุนของรัฐบาลกลางบางส่วนที่รวมอยู่ในพระราชบัญญัติลดอัตราเงินเฟ้ออาจถูกยกเลิก ความเป็นไปได้ของการยกเลิกหลังนั้นต่ำ เนื่องจากโครงการและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการผลิตจำนวนมากตั้งอยู่ในรัฐเดโมแครต
รถยนต์ไฟฟ้า (EV): แม้ว่าทรัมป์จะขู่ว่าจะยกเลิกเครดิตภาษี (ของรัฐบาลกลาง) แต่จากบันทึกวาระแรกของเขาและการที่อีลอน มัสก์อาจเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ พลวัตหลายอย่างของรัฐเดโมแครตก็ใช้ได้เช่นกัน แบตเตอรี่จากจีนมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบ และทรัมป์ได้ระบุถึงแผนการจัดเก็บภาษีศุลกากรสูงสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่มาจากจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกา
การสำรวจน้ำมันและก๊าซมีแนวโน้มที่จะขยายตัวขึ้นด้วยนโยบาย “ครอบงำด้านพลังงาน” ของทรัมป์ที่ส่งเสริมการขยายการขุดเจาะบนที่ดินของรัฐบาลกลาง ผ่อนปรนข้อจำกัด และลดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
การส่งออก LNG มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจากการที่ฝ่ายบริหารชุดใหม่พลิกกลับการตัดสินใจของไบเดนในการหยุดการพัฒนาโครงการ LNG ใหม่สำหรับการส่งออก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการผลิตและราคาก๊าซในประเทศ
โครงสร้างพื้นฐานท่อส่งมีแนวโน้มว่าจะได้รับการเร่งรัด เช่น Keystone XL โดยการพลิกกลับการตัดสินใจของไบเดนและลดข้อกำหนดการตรวจสอบสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูว่าโครงการดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แม้จะมีข้อยกเว้นเหล่านี้
อำนาจของ EPA: อำนาจในการกำกับดูแลของ EPA มีแนวโน้มที่จะถูกจำกัด และการเปลี่ยนแปลงประมาณ 100 รายการที่ศาลปฏิเสธเกี่ยวกับการควบคุมมลพิษ โรงงานที่มีการปล่อยมลพิษสูง และยานพาหนะตั้งแต่ดำรงตำแหน่งครั้งแรกของเขา อาจได้รับการผ่านกฎหมาย
การยกเลิกโทษมีเทน: คาดว่าทรัมป์จะลดโทษสำหรับการรั่วไหลของมีเทน ทำให้บริษัทน้ำมันและก๊าซมีอิสระในการดำเนินการมากขึ้น และมีส่วนทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าคำมั่นสัญญาที่ทำโดยบริษัทน้ำมันรายใหญ่และบริษัทฟอสซิลขนาดใหญ่โดยเฉพาะใน “คำมั่นสัญญาการปล่อยก๊าซมีเทน” น่าจะได้รับการปฏิบัติตามเพื่อลดผลกระทบ
การพลิกกลับของกฎหมายลดเงินเฟ้อ (IRA): ทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะยุบ IRA และลบแรงจูงใจหลักสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม การจัดแนวผลประโยชน์หลักของ IRA ในรัฐที่เป็นฝ่ายแดง และบทบัญญัติของ IRA จำนวนมากที่ให้ประโยชน์แก่บริษัทน้ำมันและก๊าซ (CCS/ไฮโดรเจน) แสดงให้เห็นว่าบทบัญญัติจำนวนมากอาจยังคงอยู่และบางส่วนก็ถูกทำให้เจือจางลง
แม้ว่าทรัมป์จะคาดว่ารัฐบาลกลางจะถอนตัว แต่เราอาจยังคงเห็นการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ต่อไป แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและต้นทุนสำหรับพลังงานหมุนเวียน โครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวนมาก และคำมั่นสัญญาของรัฐและองค์กรต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยที่ถ่วงดุลกัน รัฐสำคัญๆ เช่น แคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ซึ่งมีเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนอิสระ น่าจะยังคงรักษาแนวทางของตนไว้ได้ นอกจากนี้ ผู้สนับสนุนภาคเอกชน รวมถึงอีลอน มัสก์ อาจคัดค้านมาตรการรุนแรงใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้ม เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากนโยบายบางส่วน
ผลกระทบต่อโลก
อย่างไรก็ตาม นโยบายด้านสภาพอากาศของทรัมป์มีความเสี่ยงที่จะบั่นทอนความก้าวหน้าและแนวร่วมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในระดับโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นระลอกคลื่นที่อาจจะไปไกลกว่าการปล่อยคาร์บอนในสหรัฐฯ
การเสริมความแข็งแกร่งให้กับล็อบบี้ “ต่อต้านสภาพอากาศ”: การถอนตัวจากข้อตกลงด้านสภาพอากาศ การดำเนินการร่วมกันอย่างแข็งกร้าว และการสนับสนุนจากสหรัฐฯ น่าจะทำให้คนอื่นๆ กล้าขึ้น โดยเฉพาะผู้สนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปิดบังตัวตน นอกจากนี้ ยังอาจเสริมสร้างโมเมนตัมในการสร้างโมเมนตัมในยุโรปเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพรรคการเมืองฝ่ายขวา ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันให้สหภาพยุโรปลดความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและต้นทุน ซึ่งนี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดที่กลุ่มพันธมิตรโลกต้องเผชิญ
การเงินเพื่อสภาพอากาศโลก: การต่อต้านการสนับสนุนการเงินเพื่อสภาพอากาศของทรัมป์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาขาดเงินทุนที่สำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่าน การปรับตัว และความยืดหยุ่น ส่งผลให้การดำเนินการด้านสภาพอากาศหยุดชะงัก ซึ่งน่าจะทำให้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในประเทศกำลังพัฒนาล่าช้า และระบบนิเวศเชื้อเพลิงฟอสซิลจะฝังรากลึก
ความตึงเครียดด้านสภาพอากาศระหว่างจีนและสหรัฐฯ: ความร่วมมือด้านสภาพอากาศระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ล้มเหลวอาจทำให้ความพยายามลดการปล่อยก๊าซระหว่างสองประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดของโลกต้องหยุดชะงัก อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้ คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในท่าทีของนโยบายในประเทศของจีน เนื่องจากจีนอาจยังคงเป็นผู้เล่นหลักในด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้า อย่างไรก็ตาม ภาษีนำเข้าสินค้าจีนจากสหรัฐฯ ฉบับใหม่ (และหากยุโรปเห็นด้วย) อาจเพิ่มต้นทุนและขัดขวางห่วงโซ่อุปทานของแผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และแบตเตอรี่ ทำให้การปรับใช้เทคโนโลยีสีเขียวทั่วโลกมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้า
กลไกการปรับพรมแดนคาร์บอน (CBAM) ของสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอน กำลังเผชิญกับการต่อต้านจากสหรัฐฯ อยู่แล้ว และอาจพบว่าการต่อต้านนั้นรุนแรงขึ้น มีความเสี่ยงที่สหภาพยุโรปอาจถูกบังคับให้ชะลอหรือแก้ไขการดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแนวคิดเรื่องภาษีคาร์บอนทั่วโลก
สงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งนายทรัมป์อ้างว่าเขาสามารถแก้ไขก่อนเข้ารับตำแหน่ง อาจทำให้ตลาดน้ำมันและก๊าซคลายตัวลง ส่งผลให้ราคาลดลงและลดแรงจูงใจในการเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ยุโรปและส่วนอื่นๆ ของโลกสามารถมีบทบาทในการรักษาความเป็นผู้นำด้านสภาพอากาศได้หรือไม่?
การที่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งในทำเนียบขาวทำให้ยุโรป สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย และประเทศอื่นๆ ที่มุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในการดำเนินการด้านสภาพอากาศมีแรงกดดันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ เช่น วิกฤตพลังงาน อัตราเงินเฟ้อ ภัยคุกคามด้านภาษีศุลกากร และความขัดแย้งในยูเครน อาจจำกัดความสามารถของพวกเขาในการถ่วงดุลกับสหรัฐฯ ได้ ดังที่พวกเขากล่าวไว้ว่า หาก ‘สหรัฐฯ จาม โลกก็จะเป็นหวัด’ และสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มที่จะไม่จามเกี่ยวกับสภาพอากาศหลังการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาพันธกรณีด้านสภาพอากาศและผลักดันความพยายามระหว่างประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายอุณหภูมิโลกที่ 1.5 องศาเซลเซียส พันธมิตรด้านสภาพอากาศในปัจจุบัน (โดยไม่มีสหรัฐฯ ที่อาจเป็นไปได้) อาจต้องแบกรับภาระนี้ในขณะที่สหรัฐฯ พิจารณาตัวเอง ซึ่งไม่ต่างจากเมื่อทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งล่าสุด ซึ่งส่วนอื่นๆ ของโลกผลักดันการขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลก
บทสรุป: ยุคใหม่ของความไม่แน่นอนด้านสภาพอากาศ
การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์อาจทำให้การดำเนินการด้านสภาพอากาศของสหรัฐฯ ล่าช้า ขัดขวางความก้าวหน้าด้านสภาพอากาศของโลก และทำให้พันธมิตรอ่อนแอลงในช่วงเวลาสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แรงผลักดันของตลาด นโยบายที่นำโดยรัฐ ความร่วมมือระหว่างองค์กรธุรกิจและระหว่างประเทศได้ช่วยรักษาโมเมนตัมไว้ได้ในอดีต แม้ว่าสหรัฐฯ จะเปลี่ยนลำดับความสำคัญแล้วก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นของทรัมป์ถือเป็นอุปสรรค
ทั้งนี้ต้องจำไว้ว่าการดำเนินการด้านสภาพอากาศเป็นความพยายามในรอบยาว กิจกรรมในปัจจุบันของสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรักษาโมเมนตัมไว้ได้และไม่เปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะใกล้มากนัก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ในวาระนี้ อาจส่งผลกระทบในระยะยาวที่ยาวกว่าปี 2028
พันธมิตรด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอาจอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อส่วนอื่นๆ ของโลกดำเนินการอย่างเป็นเอกฉันท์เช่นเดียวกับที่เคยทำมา การต่อสู้ระดับโลกเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยง..แต่ประเทศส่วนใหญ่ก็อยู่ในสถานะที่ดี รวมถึงที่นี่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งระบบพลังงานแห่งชาติได้ยืนยันในรายงานเมื่อวันจันทร์ว่าการบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนออกจากระบบพลังงานทั้งหมดภายในปี 2030 เป็นไปได้
ดังที่แจ็ค หม่าเคยกล่าวไว้ว่า `วันนี้ยาก พรุ่งนี้อาจเลวร้ายกว่า แต่วันมะรืนนี้ดวงอาทิตย์จะส่องแสง!´
ที่มา: https://www.reuters.com/default/trump-names-ex-congressman-lee-zeldin-run-environmental-protection-agency-2024-11-11/
https://www.bbc.com/news/articles/c20nep2rw22o
https://www.bbc.com/news/articles/c2k0zd2z53xo