เปิดผล ‘เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ’ โดนัลด์ ทรัมป์-กมลา แฮร์ริส ต่างเชือดเฉือนกัน ชะตากรรมวิกฤตสภาพอากาศโลก ในมือผู้นำมะกัน

เปิดผล ‘เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ’ โดนัลด์ ทรัมป์-กมลา แฮร์ริส ต่างเชือดเฉือนกัน ชะตากรรมวิกฤตสภาพอากาศโลก ในมือผู้นำมะกัน

ผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ชิงเก้าอี้ผู้นำชาวอเมริกัน ผู้กำหนดนโยบายลงทุนแก้ปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ ส่งผลต่อชะตากรรมกำหนดทิศทางโลกและสงคราม เปิด 5 จุดแข็ง ทรัมป์ เป็นผู้นำด้านแก้ปัญหาปากท้อง คนอพยพ และผู้นำกล้าหาญในวันที่โลกอ่อนแอ ด้าน 5 หมัดน็อก แฮร์ริส มาเหนือเมฆ ปลุกพลังตัวแทนสิทธิสตรี เสียงเงียบ และคนเบื่อผู้นำยุคคนเก่า

 

 

การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในครั้งนี้ นับเป็นไม่กี่ครั้งที่คู่แข่งขันจะชิงกันอย่างดุเดือด โดยผลสำรวจออกมาสูสีมาก  ทำให้ไม่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ กมลา แฮร์ริส ก็มีโอกาส เพิ่มคะแนนในช่วงโค้งสุดท้าย เพียงรวบรวมเสียงมากกว่าสองหรือสามคะแนน หรือเกินครึ่งหนึ่งก็เพียงพอที่จะชนะได้

ขณะที่แนวโน้มจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงมากเป็นประวัติการณ์ มีโอกาสจะสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อผู้นำของสหรัฐฯ จนถึงการชี้ชะตาทิศทางการค้า เศรษฐกิจ สงคราม และการสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)  

สำหรับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุด มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 66.1% โดยมีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ 158,427,986 คน ขณะนี้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทางไปรษณีย์แล้ว 76 ล้านคน นับได้ว่าเป็นตัวเลขจำนวนมหาศาล ผู้มาใช้สิทธิครึ่งหนึ่งมากกว่าจำนวนทั้งหมดจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด โดยทาง The Washington Post รายงานว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทางไปรษณีย์แซงหน้าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในคอนเนตทิคัต เดลาแวร์ และเซาท์แคโรไลนาไปแล้ว

 

 

ในช่วงวันสุดท้ายของการหาเสียง ทั้งแฮร์ริสและทรัมป์มุ่งเป้าไปที่รัฐสำคัญ 7รัฐ ที่มีโอกาสชนะมากที่สุด ได้แก่ มิชิแกน วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย เนวาดา จอร์เจีย นอร์ทแคโรไลนา และแอริโซนา ซึ่งมีฐานเสียงผู้เลือกตั้งรวมกัน 93 ล้านคน 

สิ่งที่ควรสังเกตก็คือ เมื่อทรัมป์ได้นั่งอยู่ในทำเนียบขาวในปี 2016 (พ.ศ. 2559)  พรรครีพับลิกันสามารถคว้าชัยชนะได้ในทุกรัฐ ยกเว้นเนวาดา และเมื่อไบเดนชนะการเลือกตั้งในปี 2020 (พ.ศ. 2563)  พรรคเดโมแครตก็คว้าชัยชนะได้ทั้งหมด ยกเว้นนอร์ทแคโรไลนา จึงเป็นรัฐแห่งการเชือดเฉือนเอาชนะกัน 

รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสใช้ช่วงเวลาโค้งสุดท้ายนี้เพื่อพยายามตีตื้นคว้าชัยชนะให้ได้ โดยเลือกรัฐสำคัญอย่างเพนซิลเวเนีย ใช้กลยุทธ์การปราศรัยในเมืองสำคัญ อาทิ อัลเลนทาวน์ พิตต์สเบิร์ก และฟิลาเดลเฟีย

 

 

ผู้นำกำหนดทิศทางโลก

นโยบายสภาพแวดล้อมของคู่แข่งชิงปธน.สหรัฐฯต่างกันสุดขั้ว 

แม้ว่าปัญหาสภาพอากาศจะไม่ใช่ประเด็นหลักในการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ความคิดเห็นของผู้สมัครทั้งสองคนก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การที่พรรครีพับลิกันกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอาจทำให้เป้าหมายในการจำกัดภาวะโลกร้อนไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5°C กลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้

เอเรียล โมเกอร์ (Ariel Moger) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการเมืองของกลุ่มแอ็คชั่นเพื่อนโลก( Friends of the Earth Action) ในสหรัฐฯ กล่าวว่า ชะตากรรมของโลกของเราขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกัน เป็นเสียงสะท้อนถึงความกังวลวิกฤตสภาพอากาศ ที่กำลังจะมีการกำหนดทิศทางโลกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น 5 พฤศิจกายน 

ในช่วงเวลาที่ความหวังที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5°C กำลังใกล้เข้ามา การกระทำของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่เป็นอันดับสอง และเป็นผู้ก่อมลพิษมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จะมีบทบาลงคะแนนเสียง สนับสนุนกมลา แฮร์ริส หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดนโยบายด้านสภาพอากาศของอเมริกา นำไปสู่การกำหนดการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนทั่วโลก ที่มีความเห็นเห็นที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว 

อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้ปิดบังการปฏิเสธแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิงของเขา เป็นเวลาหลายปีที่เขาได้ออกแถลงการณ์ที่แสดงไม่เชื่อในปัญหาโลกร้อนหลายครั้ง กลับคิดว่าเป็น ‘เรื่องหลอกลวง’ หรือเป็นแนวคิด “ที่จีนสร้างขึ้นเพื่อและทำให้การผลิตของสหรัฐฯ ไม่สามารถแข่งขันได้” ในช่วงดำรงตำแหน่ง ระหว่างปี 2560-2564 เขาได้ยกเลิกกฎด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่า 100 ฉบับของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และเขาได้ถอนตัวประเทศสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้สหรัฐเข้าร่วมประชุมครั้งล่าสุดในยุค โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี ในปี  2021 (พ.ศ.2564) 

 

 

การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอาจสะดุด

การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ พรรครีพับลิกันต้องการที่จะก้าวไปอีกขั้น หากได้รับการเลือกตั้ง เขาวางแผนที่จะยกเลิกกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) ที่ผ่านภายใต้ประธานาธิบดีไบเดน โครงการขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานนี้ถือเป็นร่างกฎหมายด้านสภาพอากาศฉบับใหญ่ที่สุดที่เคยผ่านมาในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ 

เขามีความเชื่อว่า ต้อง “ยุติ” กลลวงสีเขียวใหม่ นี้ โดยเฉพาะการยุติการอุดหนุนการผลิตพลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าอีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla จะเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนเขาอย่างแรงกล้าก็ตาม ในทางกลับกัน แนวคิดหลักของโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการสนับสนุนจากบริษัทน้ำมันให้ ขุดเจาะต่อไป เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 

 

 

5 หมัดชก ทรัมป์ VS 5 หมัดชก แฮร์ริส 

จุดแข็งชนะน็อกตรงเป้าชาวอเมริกัน

มีกรณีที่น่าสนใจที่จะอธิบายว่าทำไมแต่ละฝ่ายจึงมีความได้เปรียบเมื่อต้องสร้างพันธมิตรของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในสถานที่ที่เหมาะสม และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะออกมาใช้สิทธิ์จริง ๆ

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์ หากประธานาธิบดีที่พ่ายแพ้อาจได้รับการเลือกตั้งใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปี

 

 

 

 5 เหตุผล คนแทคะแนนโหวดให้ทรัมป์ชนะ

ผู้ชายที่กล้า ท่ามกลางความกลัวของโลก 

 

  1. คนอเมริกันต้องการคนเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้อง

เศรษฐกิจเป็นปัญหาอันดับหนึ่งสำหรับผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง และแม้ว่าอัตราการว่างงานจะต่ำและตลาดหุ้นกำลังเฟื่องฟู แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่บอกว่าพวกเขากำลังดิ้นรนกับราคาที่สูงขึ้นทุกวัน

อัตราเงินเฟ้อแตะระดับที่ไม่เคยเห็นนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970  (พ.ศ. 2513) หลังเกิดโรคระบาด ทำให้ทรัมป์ย้ำถึงเงินในกระเป๋าของชาวอเมริกันในยุคไบเดน “ตอนนี้คุณดีขึ้นกว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วหรือไม่”

ในปี 2024 (พ.ศ.2567) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วโลกได้โค่นล้มพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าครองชีพที่สูงหลังโควิด-19 นอกจากนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯ มีปัญหาเรื่องปากท้องยังหิวโหย

คนอเมริกันเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาพอใจกับทิศทางที่ประเทศกำลังดำเนินไป  แต่สองในสามของประชากรเห็นต่างมีมุมมองทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี

แฮร์ริสพยายามที่จะเป็นผู้สมัครที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ในฐานะรองประธานาธิบดี เธอกลับต้องดิ้นรนเพื่อสร้างระยะห่างจากโจ ไบเดน ผู้ไม่เป็นที่นิยม

 

คนอเมริกันจนใจเรื่องปากท้องมาเป็นอันดับแรก

 

 

  1. แม้ว่าทรัมป์จะผิดกฎหมายทางอาญา แต่ก็ยังมีคนสนับสนุน

แม้จะเกิดเหตุการณ์จลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 (พ.ศ. 2564) ตามมาด้วยข้อกล่าวหามากมายและการตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่การสนับสนุนทรัมป์ยังคงมีเสถียรภาพที่ 40% ขึ้นไปตลอดทั้งปี

ในขณะที่พรรคเดโมแครตและกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ ‘ไม่สนับสนุนทรัมป์’ กล่าวว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่ง แต่พรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยเมื่อทรัมป์กล่าวว่าเขาเป็นเหยื่อของการล่าแม่มดทางการเมือง

ด้วยทั้งสองฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่างเต็มที่ เพียงเพื่อต้องชนะใจกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังตัดสินใจไม่ได้จำนวนหนึ่งซึ่งไม่มีมุมมองที่แน่นอนต่อทรัมป์ให้ได้

 

  1. ‘การอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย’ เป็นเรื่องคนส่วนหนึ่งสนับสนุนทรัมป์

นอกเหนือจากสถานะเศรษฐกิจแล้ว การเลือกตั้งมักตัดสินผลด้วยประเด็นที่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

ทรัมป์เดิมพันและชูนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการย้ายถิ่นฐาน

หลังจากการเผชิญหน้าที่ชายแดนเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ภายใต้การนำของไบเดน และการหลั่งไหลเข้ามาส่งผลกระทบต่อรัฐต่าง ๆ ที่อยู่ห่างจากชายแดน การสำรวจความคิดเห็นชี้ให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งไว้วางใจทรัมป์ในเรื่องการย้ายถิ่นฐานมากกว่า และเขาจัดการกับชาวละตินได้ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อน ๆ

 

  1. คนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญา และชนชั้นใช้แรงงานไม่สนับสนุนทรัมป์

ในระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิปดีครั้งที่แล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ให้ความสำคัญกับการเพิ่มอำนาจของบริษัทต่างๆ เหนือคนทำงานเป็นอันดับแรกอยู่เสมอ รายชื่อความเสียหายที่รัฐบาลทรัมป์ก่อขึ้นต่อคนทำงานนั้นมีมากมาย เขาปิดปากคนงาน และจำกัดเสรีภาพในการเข้าร่วมสหภาพแรงงาน จำกัดการจ่ายค่าล่วงเวลา ต่อต้านการขึ้นค่าจ้าง และทำลายการปกป้องด้านสุขภาพและความปลอดภัย เป็นต้น ส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ไม่ให้การสนับสนุนเขา

หากเขาสามารถดึงดูดผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในพื้นที่ชนบทและชานเมืองของรัฐที่มีคะแนนเสียงแกว่งได้ ก็อาจชดเชยการสูญเสียสมาชิกพรรครีพับลิกันสายกลางที่มีการศึกษาระดับวิทยาลัยได้

 

  1. เขาถูกมองว่าเป็นคนเข้มแข็งในโลกที่ไม่มั่นคง

ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์กล่าวว่าเขาทำลายพันธมิตรของอเมริกาด้วยการผูกมิตรกับผู้นำเผด็จการ

อดีตประธานาธิบดีมองว่าความสามารถในการคาดเดาไม่ได้เป็นจุดแข็งของเขา และชี้ให้เห็นว่าไม่มีสงครามใหญ่ๆ ใดๆ เกิดขึ้นเมื่อเขาอยู่ในทำเนียบขาว

ชาวอเมริกันจำนวนมากโกรธด้วยเหตุผลต่างๆ กัน ที่สหรัฐฯ ส่งเงินหลายพันล้านเหรียญไปยังยูเครนและอิสราเอล และคิดว่าอเมริกาอ่อนแอลงภายใต้การนำของไบเดน

ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ชายที่ทรัมป์จีบผ่านพอดแคสต์ เช่น ของโจ โรแกนมองว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่แข็งแกร่งกว่าแฮร์ริส

 

 

 

แฮร์ริสสามารถชนะได้เพราะเป็น

สตรี ผู้ปลุกเสียงซ่อนเร้น เพื่อการเปลี่ยนแปลง 

 

       1.เธอไม่ใช่ทรัมป์

แม้ว่าทรัมป์จะมีข้อได้เปรียบ แต่เขายังคงเป็นบุคคลที่มีความขัดแย้งอย่างมาก

ในปี 2020 (พ.ศ.2563)  เขาได้รับคะแนนเสียงในจำนวนที่มากเป็นประวัติการณ์ให้กับผู้สมัครพรรครีพับลิกัน แต่พ่ายแพ้เพราะมีคนอเมริกันมากกว่าเจ็ดล้านคนออกมาสนับสนุนไบเดน

ครั้งนี้ แฮร์ริสแสดงให้เห็นถึงความกลัวเกี่ยวกับการกลับมาของทรัมป์ เธอเรียกเขาว่า “นักฟาสซิสต์” และเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะก้าวข้าม “เรื่องดราม่าและความขัดแย้ง” ไปได้

ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสเมื่อเดือนกรกฎาคมระบุว่าชาวอเมริกัน 4 ใน 5 คนรู้สึกว่าประเทศกำลังหลุดจากการควบคุม แฮร์ริสหวังว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะพรรครีพับลิกันสายกลางและอิสระ จะมองว่าเธอเป็นผู้สมัครที่มีเสถียรภาพ

 

  1. เธอไม่ใช่ไบเดนด้วย

พรรคเดโมแครตกำลังเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างเกือบจะแน่นอน เมื่อไบเดนถอนตัวออกจากการแข่งขัน โดยที่พรรคมีความปรารถนาที่จะเอาชนะทรัมป์ พรรคจึงรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อนำแฮร์ริสเข้ามาแทนที่ ด้วยความเร็วที่น่าประทับใจตั้งแต่เริ่มต้น เธอได้ส่งสารที่มองไปข้างหน้ามากขึ้นซึ่งทำให้ฐานเสียงตื่นตัว

แม้ว่าพรรครีพับลิกันจะเชื่อมโยงเธอเข้ากับนโยบายที่ไม่เป็นที่นิยมของไบเดน แต่แฮร์ริสก็ทำให้แนวทางโจมตีเฉพาะของไบเดนบางส่วนไม่จำเป็นอีกต่อไป

สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคืออายุ โดยผลสำรวจแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความกังวลอย่างแท้จริงเกี่ยวกับความเหมาะสมของไบเดนในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ขณะนี้ การแข่งขันได้พลิกกลับ และทรัมป์คือผู้กำลังต่อสู้เพื่อกลายเป็นบุคคลที่มีอายุมากที่สุดที่เคยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

 

  1. เธอเป็นผู้ปกป้องสิทธิสตรี

นี่เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกนับตั้งแต่ศาลฎีกาสหรัฐฯ พลิกคำตัดสินคดี Roe v Wade และสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำแท้ง

ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงที่กังวลเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิการทำแท้งสนับสนุนแฮร์ริสอย่างล้นหลาม และเราได้เห็นจากการเลือกตั้งในอดีต – โดยเฉพาะการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2022 (พ.ศ.2565) ว่าประเด็นนี้สามารถผลักดันให้เกิดการออกมาใช้สิทธิและมีผลกระทบอย่างแท้จริงต่อผลการเลือกตั้ง

ในครั้งนี้ รัฐทั้ง 10 แห่ง รวมถึงรัฐแอริโซนาซึ่งเป็นรัฐสำคัญ จะมีการลงคะแนนเสียงเพื่อสอบถามผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าควรควบคุมการทำแท้งอย่างไร ซึ่งอาจช่วยเพิ่มจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งให้แฮร์ริสได้

ลักษณะทางประวัติศาสตร์ของการเสนอตัวเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเธออาจทำให้เธอมีคะแนนนำอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยเช่นกัน

 

  1. ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของเธอมีแนวโน้มที่จะมาปรากฏตัวมากขึ้น

กลุ่มที่แฮร์ริสมีการสำรวจความคิดเห็นอย่างเข้มข้น เช่น กลุ่มคนที่มีการศึกษาในระดับอุดมศึกษาและผู้สูงอายุ มีแนวโน้มที่จะออกมาลงคะแนนเสียงมากกว่า

ในที่สุดพรรคเดโมแครตก็ทำผลงานได้ดีขึ้นกับกลุ่มที่มีผู้มาใช้สิทธิจำนวนมาก ขณะที่ทรัมป์ประสบความสำเร็จกับกลุ่มที่มีผู้มาใช้สิทธิค่อนข้างน้อย เช่น ชายหนุ่มและผู้ที่ไม่ได้มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี

ตัวอย่างเช่น ทรัมป์มีคะแนนนำอย่างมากในกลุ่มผู้ลงทะเบียนแต่ไม่ได้ลงคะแนนเสียงในปี 2020 ตามผลสำรวจของ New York Times/Siena

คำถามสำคัญก็คือพวกเขาจะปรากฏตัวครั้งนี้หรือไม่

 

  1. เธอได้ระดมและใช้จ่ายเงินมากขึ้น

ไม่ใช่ความลับเลยที่การเลือกตั้งของอเมริกามีค่าใช้จ่ายสูง และปี 2024 ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดเท่าที่มีมา

แต่เมื่อพูดถึงอำนาจในการใช้จ่าย แฮร์ริสอยู่เหนือกว่า โดยเธอระดมทุนได้มากกว่าทรัมป์ในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 นับตั้งแต่เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยการวิเคราะห์ล่าสุดของ Financial Times ระบุว่าแคมเปญหาเสียงของเธอใช้เงินโฆษณาเกือบสองเท่า

สิ่งนี้อาจมีบทบาทในการแข่งขันที่สูสี ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะตัดสินโดยผู้มีสิทธิออกเสียงในรัฐชี้ขาดที่กำลังถูกโฆษณาทางการเมืองโจมตีซึ่งกันและกันอยู่ในขณะนี้

 

 

 

อังกฤษ ยกทรัมป์คืนสู่ทำเนียบขาว

บีบอังกฤษ ยุโรป สู่สงครามยูเครน 

กำแพงภาษีนำเข้าสูง

ชาวอังกฤษเกือบครึ่งหนึ่งต้องการให้กมลา แฮร์ริสได้รับชัยชนะ ในขณะที่ 27 %ต้องการให้โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับชัยชนะ

ชาวอังกฤษมีแนวโน้มว่าจะต้องลุ้นให้กมลา แฮร์ริสได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐฯ สัปดาห์นี้ แต่ผลสำรวจแสดงให้   เห็นว่าเชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสชนะมากกว่า

ขณะที่สหรัฐฯ เตรียมลงคะแนนเสียงในวันอังคาร โดยที่ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่จุดเดือดร้อนระอุ ผู้ใหญ่ที่ตอบแบบสำรวจเกือบครึ่งหนึ่งต้องการให้ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไป

การสำรวจโดย BMG Research แสดงให้เห็นว่าชาวอังกฤษ 47 % เชื่อว่าชัยชนะของแฮร์ริสจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าสำหรับสหราชอาณาจักร 

ชาวอังกฤษส่วนน้อยจำนวนมากถึง 27 % เชื่อว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกันจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับสหราชอาณาจักร แม้ว่าเขาจะขู่ว่าจะเก็บภาษีการค้าและสนับสนุนสงครามยูเครนเพียงเล็กน้อยก็ตาม 

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอังกฤษจำนวนมากขึ้นเชื่อว่าการที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีน่าจะมีผลลัพธ์ใกล้เคียงมากกว่า โดยสัดส่วน 42 % เชื่อว่าทรัมปจะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว และสัดส่วน 29 % เชื่อว่าแฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้ง

ความมุ่งมั่นที่ไม่จริงจังของทรัมป์ต่อยูเครนก็ปรากฏชัดขึ้นเช่นกัน โดยลอร์ดบาร์เวลล์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเทเรซา เมย์ในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์คนแรกได้เตือนเมื่อต้นปีนี้ว่า หากทรัมป์กลับมาอาจบีบให้สหราชอาณาจักรและประเทศยุโรปอื่นๆ ต้องนำเศรษฐกิจของกลุ่มเข้าสู่ภาวะสงคราม เพราะสหรัฐฯ ยกเลิกการสนับสนุนทางการเงินแก่เคียฟ ความท้าทายอีกด้านของ ทรัมป์ นั่นคือ การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรโดยตรง

 

ที่มา:

https://www.lemonde.fr/en/environment/article/2024/11/04/donald-trump-or-kamala-harris-a-crucial-choice-for-the-climate_6731478_114.html

https://www.bbc.com/news/articles/cj0jq134y91o

https://inews.co.uk/news/politics/britons-hope-harris-win-trump-us-president-poll-3360275