เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นทั่วโลกมีสาเหตุร่วมกันคือโลกร้อนขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชากรโลกจะเตรียมตัวรับมือให้ทันท่วงทีอย่างไร
ฝนตกหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน เมืองบางเมืองจมอยู่ใต้น้ำ เกิดดินถล่ม และทำให้ผู้คนนับล้านไม่มีไฟฟ้าใช้ นับเป็นสัญญาณเตือนถึงสภาพอากาศแปรปรวนที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องร่วมกันแก้ปัญหานี้ ไม่ว่าจะในประเทศร่ำรวยหรือยากจน ก็ตาม
ไมเคิล เวนเนอร์ (Michael Wehner) นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอว์เรนซ์เบิร์กลีย์ (Lawrence Berkeley National Laboratory) กล่าวว่า ภัยพิบัติธรรมชาติกำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น เราควรคาดการณ์ไว้ได้เลยว่า น้ำท่วมจะรุนแรงขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
อุทกภัยเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศแปรปรวน
อุทกภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เช่น ดินถล่มในรัฐเกรละ ทางตอนใต้ของอินเดีย เมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ อาจมีสาเหตุโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคมพบว่า ฝนที่ตกหนักเพิ่มขึ้นราว 10% จากภาวะปกติทำให้เกิดดินถล่ม เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาถึงสาเหตุของภัยพิบัติที่เกิดคล้ายคลึงกันทั่วโลกจากเหตุการณ์น้ำท่วมในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีการศึกษาบางส่วนแล้ว แต่ก็อยู่ในขั้นตอนการทำวิจัย จึงยังมีข้อมูลเพียงพอที่จะนำมาประมวลผลสำหรับทุกเหตุการณ์
นักวิทย์ฯยัน โลกร้อนขึ้น
ทำให้ฝนตกหนักมากขึ้น
ทั้งนี้ วิทยาศาสตร์ยืนยันว่า บรรยากาศที่อบอุ่นขึ้นจะกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นระยะ ๆ นอกเหนือจากปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาอื่น ๆ เช่น พายุบอริส ซึ่งเกิดจากความกดอากาศต่ำที่เคลื่อนตัวช้า ได้ทิ้งปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนกันยายนถึง 5 เท่าทั่วยุโรปนับตั้งแต่พายุเริ่มก่อตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระแสลมหนาวจากขั้วโลกพัดปะทะกับมวลอากาศเมดิเตอร์เรเนียนที่อบอุ่นเต็มไปด้วยไอน้ำ ก่อให้เกิดพายุที่มีพลังผิดปกติทำให้เกิดฝนตกหนักและลมแรง จนถึงวันพุธที่ 18 กันยายน 2567 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23 รายในออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก โปแลนด์ และโรมาเนีย ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
ในสัปดาห์นี้ สหรัฐฯ ในรัฐนอร์ธแคโรไลนา และเซาท์แคโรไลนาเผชิญกับพายุที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักเช่นกัน บางพื้นที่มีฝนตกมากในระยะเวลา 12 ชั่วโมงซึ่งถือเป็นปริมาณที่หายากมากจนถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียง 1 ครั้งใน 1,000 ปี
พายุไต้ฝุ่นยางิ ซึ่งเป็นพายุที่มีพลังรุนแรงที่สุดลูกหนึ่งในภูมิภาคนี้ ได้พัดฝนและลมกระโชกแรงถึง 127 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 204 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ไปทั่วภาคเหนือของเวียดนามมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 143 รายจากเหตุการณ์ดังกล่าวรวมถึง 22 รายที่เสียชีวิตจากเหตุดินถล่มในหล่าวกายจังหวัดบนภูเขาที่ติดกับจีน พายุลูกนี้เคลื่อนตัวต่อไปที่เมียนมาร์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอีกอย่างน้อย 110 รายจากน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม
มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่
ที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว
อุทกภัยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับอันตรายที่สะสมในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว ทำให้ความสามารถในการรับมือของผู้คนลดน้อยลง
ฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วันส่งผลให้เขื่อนแตก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 200 ราย และเมืองไมดูกูรีครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้น้ำ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแจ้งกับรอยเตอร์ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ฝนตกเพียงไม่กี่เดือนหลังจากอากาศร้อนจัดก่อนฤดูมรสุม และหลังจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มติดอาวุธโบโกฮารามและกองกำลังของรัฐบาลไนจีเรียในพื้นที่มาหลายปี ผู้ว่าการรัฐบอร์โนกล่าวว่า อุทกภัยทำให้ผู้คนมากกว่าล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย และมีความเสี่ยงสูงที่โรคจะแพร่กระจาย
ในทำนองเดียวกันผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งหลายปีและการหลั่งไหลเข้ามาของผู้ลี้ภัยจากประเทศเพื่อนบ้านมีผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมถึง 341 คนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ
สภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้รัฐบาลของแอฟริกาสูญเสียรายได้อย่างมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกาสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจ 5% เนื่องจากอุทกภัย ภัยแล้ง และความร้อนตามข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลกหลายประเทศใช้งบประมาณมากถึงหนึ่งในสิบเพื่อจัดการกับภัยพิบัติที่เกิดจากสภาพอากาศเลวร้าย เหตุการณ์เลวร้ายเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้น แต่แอฟริกาปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงเศษเสี้ยวเดียวของปริมาณการปล่อยก๊าซต่อปีของโลกเท่านั้น
สหประชาชาติ กดดันรัฐบาลประเทศต่างๆ
ให้นำระบบเตือนภัยล่วงหน้ามาใช้
อุทกภัยครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นชัดว่าทั้งประเทศร่ำรวยและยากจนจำเป็นต้องลงทุนเสริมกำลังโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและนโยบายสาธารณะเพื่อลดผลกระทบจากสภาพอากาศที่เลวร้ายให้เหลือน้อยที่สุด
โดยสหประชาชาติได้กดดันรัฐบาลต่าง ๆ ให้นำระบบเตือนภัยล่วงหน้ามาใช้มากขึ้น ซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างถูกและมีประสิทธิผลในการช่วยชีวิตผู้คน สหประชาชาติระบุว่าปัจจุบันมี 101 ประเทศที่มีพิธีสารเตือนภัยล่วงหน้าอย่างน้อยตามเอกสาร ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากจำนวนที่รายงานว่ามีระบบดังกล่าวในปี 2558
มีมาตรการที่เป็นไปได้หลายประการในการลดการสูญเสียชีวิตที่เกิดจากน้ำท่วม เช่น การมอบเงินสดจำนวนเล็กน้อยให้กับผู้คนเพื่อให้พวกเขาได้อพยพออกจากพื้นที่อันตราย และการติดตั้งระบบน้ำและไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อป้องกันการระบาดของโรคหลังน้ำท่วม
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยพิบัติกล่าวว่าสิ่งที่ทำได้ยากกว่าแต่จำเป็นคือการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าและการก่อสร้างในพื้นที่ที่มักเกิดน้ำท่วมหนักและดินถล่ม อุทกภัยในรัฐเกรละยิ่งสร้างความเสียหายมากขึ้นเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าเป็นวงกว้างและการพัฒนาที่ไม่ได้วางแผนไว้ในพื้นที่ที่อ่อนไหวต่อระบบนิเวศ
ประเทศร่ำรวย ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานราคาแพง
รับมือน้ำท่วมหนัก -พายุรุนแรง
ในประเทศที่ร่ำรวย เช่น สหรัฐอเมริกา รัฐบาลท้องถิ่นได้ลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานราคาแพง เช่น นอร์ทและเซาท์แคโรไลนา ซึ่งเคยเผชิญกับพายุรุนแรง ได้ทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์ในการปรับปรุงถนนให้ทนต่อฝนตกหนักได้ดีขึ้น และเริ่มปกป้องแนวกั้นน้ำท่วมตามธรรมชาติ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ จากการพัฒนา
ในทางกลับกัน ประเทศที่มีรายได้ต่ำซึ่งมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นไม่สามารถดูแลถนนได้อีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ต้านทานน้ำท่วม
โอลาซุนกันมี ฮาบีบ โอคูโนล่า (Olasunkanmi Habeeb Okunola) นักวางผังเมืองจากไนจีเรียซึ่งทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์รับเชิญที่สถาบันสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของมนุษย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า เราจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ หากคุณทำได้ถูกต้องในระดับหนึ่ง คุณจะลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้สภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ไดอานา อูร์เก-วอร์ซัตซ์ ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยยุโรปกลางและรองประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กล่าวว่า เราไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุการณ์ประเภทใดจะเกิดขึ้นเมื่อใด และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่านี้กำลังจะเกิดขึ้น
ที่มา: https://www.nytimes.com/2024/09/18/climate/global-flooding-climate-change.html