พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ว่า กรณี “การสร้างบ้านพักตุลาการ” บริเวณเชิงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนไม่สบายใจ ทุกคนไม่สบายใจ ครม.ไม่สบายใจ เป็นกังวลใจมาโดยตลอด เพราะมีผลกระทบกับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ตนได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร จากหน่วยงานราชการ นักวิชาการ และสื่อทุกแขนง ในทุกแง่มุม
ทั้งนี้ ไม่ว่าปัญหาจะเกิดจากใคร และเมื่อใดก็ตาม ตนอยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้มั่นใจว่ารัฐบาลและคสช. จะพยายามทำอย่างเต็มที่ ด้วยความรอบคอบ โดยขอให้ประชาชนไว้ใจตน เหมือนที่เคยไว้ใจมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ว่าเราจะต้องหา “ทางออก” ที่ดีที่สุดให้กับประเทศ
ปัจจุบันตนได้มอบหมายให้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะทำงานเข้าไปพูดคุยหารือ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ทราบว่าจากการพูดคุยในปัจจุบันเป็นไปในทิศทางที่ดี สิ่งแรกที่ตนอยากให้ทำคือ การปลูกป่าขึ้นมาทดแทน ส่วนเรื่องอื่นจะมีการดำเนินการเจรจาหารือคณะทำงาน ฝ่ายกฎหมาย
“ข้อสำคัญคืออย่าไปแสดงความรังเกียจ ชิงชัง ข้าราชการของศาล เพราะเหล่าข้าราชการเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนไปสร้างเอง เป็นเรื่องของนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องมาดูว่าเราจะบริหารจัดการกันได้อย่างไร แต่แน่นอนไม่มีใครไปอยู่ แน่นอน ตนก็ยังไม่อนุมัติให้ใครไปอยู่ทั้งสิ้น แล้วลองบริหารจัดการป่าดู ว่ามันจะใช้เวลาในฤดูฝนหน้าจะปลูกป่าขึ้นมาได้หรือไม่ จะทำให้พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ป่าได้เหมือนเดิมหรือไม่ เรื่องอื่นค่อยเจรจาว่ากันต่อไป อย่าเพิ่งมากดดันกันเห็นบอกจะมีการเคลื่อนไหวกันอีก ตนขอร้อง ไม่งั้นจะวุ่นวายไปทั้งประเทศ ก็มีคนมาฉวยประโยชน์เข้าไปอีก” นายกฯกล่าว
นอกจากนี้นายกฯยังกล่าวอีกว่า ตนอยากให้พวกเรานั้นปรับเปลี่ยนทัศนคติ มาสู่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ไม่ใช่ในเชิงกดดันกันไปมา ไม่อยากให้ค้านทุกเรื่อง ค้านก็เพื่อเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลในสิ่งที่มันควรจะเป็น “ติเพื่อก่อ” มีข้อเสนอแนะบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง เพื่อสนับสนุนให้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ไม่ว่าจะจากพรรคใดก็ไม่สำคัญ แต่ต้องมี “ธรรมาภิบาล” มีโครงการ มีแผนงาน มีนโยบายที่ถูกต้อง เหมาะสม ถ้าหากเป็นเช่นนั้นได้ เราก็จะเป็นการสร้างวัฒนธรรม “การปรองดอง” ที่ไม่ใช่การเอาชนะคัดคานกัน เหมือน “การโต้วาที” ที่มุ่งเป้าหมายของตัวเองเป็นหลัก ปิดทุกประตูทางออก ปฏิเสธทุกข้อเสนอ ทุกความเห็นต่าง เหมือนพยายามผลักปัญหาเข้าสู่ “ทางตัน” สุดท้ายแล้ว…ประเทศชาติ และเราทุกคนก็เป็นผู้เสียหาย
ดังนั้น ตนจึงขอฝากให้ช่วยกันพิจารณาการสร้างวัฒนธรรม “การปรองดอง” นี้ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานใหม่กับสังคมไทย ไม่ได้หมายความว่าปรองดองเพื่อหาประโยชน์ร่วมกันอีก แต่จะต้องทำให้เกิดธรรมาภิบาลให้ได้ อยู่ที่พวกเราทุกคน ให้เราสามารถบริหารความขัดแย้งได้ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยกฎหมายปกติที่มีอยู่แล้ว หา “จุดลงตัว” ให้ได้ บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ใช้นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ “ร่วมกัน” ในการพิจารณาหาทางออก