การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เรามีสุขภาพดีและประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น เรียนรู้วิธีจัดการเวลาให้เหมาะสมและดูแลตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน
ในยุคปัจจุบัน Work-life balance กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในอนาคต แม้ว่าจะเป็นแนวคิดที่ได้เริ่มต้นมานานแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง หลายองค์กรเริ่มนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
Work-Life Balance คืออะไร?
Work-life balance คือ การหาความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวเพื่อไม่ให้การทำงานมีผลกระทบกับสุขภาพหรือชีวิตส่วนตัวมากเกินไป มันไม่จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการทำงาน แต่ยังสามารถแบ่งเวลาไปกับการพักผ่อน, การดูแลสุขภาพ, การใช้เวลากับครอบครัว หรือการทำงานอดิเรกได้อย่างสมดุล
ความสำคัญของ Work-Life Balance ในยุคปัจจุบัน
การทำงานที่มากเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ความเครียดสะสมสามารถนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ หรือปัญหาสุขภาพจิตอย่างซึมเศร้าและภาวะหมดไฟ (Burnout) องค์การอนามัยโลกและองค์การแรงงานระหว่างประเทศได้ชี้ว่า การทำงานเกิน 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองมากกว่าการทำงาน 35-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
สัญญาณที่บ่งบอกว่า Work-Life Balance ของคุณไม่ดี
- ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง การทำงานหนักจนไม่เหลือเวลาให้กับการพักผ่อนหรือดูแลสุขภาพ เช่น ไม่มีเวลาฝึกออกกำลังกายหรือกินอาหารที่มีประโยชน์
- งานล้นมือ งานที่ค้างหรือมีความสำคัญสูงเกินไป ทำให้คุณไม่สามารถจัดตารางชีวิตได้อย่างสมดุล
- อารมณ์แปรปรวน ความเครียดสะสมทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดหรือซึมเศร้า
- เบื่องาน ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักทำให้ประสิทธิภาพลดลง
- รู้สึกไม่เก่งพอ ความกังวลเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่ดีพออาจทำให้คุณหมกมุ่นและขาดสมดุลในชีวิต
- รู้สึกโดดเดี่ยว การทำงานมากเกินไปอาจทำให้คุณขาดการติดต่อกับครอบครัวและเพื่อน ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว
เคล็ดลับการสร้าง Work-Life Balance อย่างมีประสิทธิภาพ
- กำหนดเส้นแบ่งชัดเจน: ตั้งเวลาให้ชัดเจนระหว่างเวลาทำงานและเวลาพักผ่อน เมื่อทำงานให้เต็มที่ แต่เมื่อเลิกงานแล้วให้พักผ่อนอย่างเต็มที่
- เคารพเวลาพักผ่อนของตัวเอง: เมื่อถึงเวลาเลิกงานควรปิดอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานและพักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดลำดับความสำคัญของงาน: เรียงลำดับความสำคัญของงานเพื่อให้จัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ดูแลตัวเอง: ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ และให้เวลาในการทำกิจกรรมที่ชอบ
- กำหนดวันพักผ่อน: ใช้เวลาให้กับครอบครัวหรือเพื่อน ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- เรียนรู้ที่จะปฏิเสธและขอความช่วยเหลือ: หากงานมากเกินไป อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน
ความสำคัญของ Work-Life Balance จากมุมมององค์กร
สำหรับองค์กร การสนับสนุน work-life balance เป็นสิ่งสำคัญไม่เพียงแต่เพื่อลดการลาออกจากงานหรือการเครียดสะสม แต่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า พนักงานที่มี work-life balance ที่ดีจะทำงานได้ดีขึ้นถึง 21% มากกว่าพนักงานที่ไม่มีสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิต
เคล็ดลับการส่งเสริม Work-Life Balance ในองค์กร
- ยืดหยุ่นเวลาเข้า-ออกงาน องค์กรสามารถอนุญาตให้พนักงานเลือกเวลาทำงานที่เหมาะสม เพื่อให้มีเวลาจัดการชีวิตส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น
- Work From Home และ Remote Working การอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านหรือจากที่ใดก็ได้ ช่วยให้พวกเขามีเวลาพักผ่อนมากขึ้น
- รีวิวภาระงาน การตรวจสอบภาระงานของพนักงานและกระจายงานอย่างเหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด
- ส่งเสริมสุขภาพ มอบสวัสดิการด้านสุขภาพและจิตใจ เช่น การประกันสุขภาพหรือโปรแกรมสุขภาพจิต
- สร้างวัฒนธรรมการเคารพ Work-Life Balance องค์กรควรสร้างวัฒนธรรมที่เคารพเวลาส่วนตัวของพนักงานและไม่ส่งเสริมให้ทำงานล่วงเวลา
คำแนะนำสำหรับพนักงาน
หากพบว่าที่ทำงานไม่ส่งเสริม Work-life balance อย่างที่ควรจะเป็น พนักงานสามารถเริ่มต้นจากการระบุปัญหาและสื่อสารกับหัวหน้าเพื่อหาทางแก้ไข รวมถึงการรักษาสมดุลในชีวิตส่วนตัวโดยการให้ความสำคัญกับสุขภาพและการพักผ่อน
การรักษาความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวไม่เพียงแต่ช่วยให้สุขภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้น แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจในชีวิตได้อย่างมาก.
ที่มา: https://shorturl.at/5BWe4