สิ้นปีแล้ว ! รีบเลย!! โค้งสุดท้ายแล้ว จะลงทุนทั้งที ต้องได้ลดหย่อนภาษีด้วย กองทุน Thai ESG

สิ้นปีแล้ว ! รีบเลย!! โค้งสุดท้ายแล้ว จะลงทุนทั้งที ต้องได้ลดหย่อนภาษีด้วย กองทุน Thai ESG

กองทุน Thai ESG หรือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนระยะยาวและใส่ใจในเรื่องความยั่งยืน โดยกองทุนประเภทนี้จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินงานที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG)

 

 

การลงทุนในกองทุน Thai ESG นั้น นอกจากจะช่วยให้คุณได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) แล้ว ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย 

 

 

ประโยชน์ของการซื้อกองทุน Thai ESG

  1. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

ลดหย่อนภาษีได้: หนึ่งในแรงจูงใจหลักของการลงทุนในกองทุน Thai ESG คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สามารถนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่กฎหมายกำหนด ช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้น

กระตุ้นการออม: การลดหย่อนภาษีทำให้การออมเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจมากขึ้น เพราะเงินที่ลงทุนไปสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ทำให้คุณมีเงินเหลือเก็บมากขึ้น

  1. ลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง: เมื่อคุณลงทุนในกองทุน Thai ESG หมายความว่าคุณกำลังสนับสนุนบริษัทที่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ช่วยให้โลกของเราน่าอยู่มากขึ้น

ลดความเสี่ยง: บริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG มักจะมีการบริหารจัดการที่ดี มีความโปร่งใส และมีความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้

  1. กระจายความเสี่ยง

ลงทุนในหลายบริษัท: การลงทุนในกองทุน Thai ESG ทำให้คุณได้กระจายความเสี่ยงไปยังหลายบริษัทในกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ผลตอบแทนมีความเสถียรมากขึ้น

ลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก: เมื่อลงทุนในหลายบริษัท ความผันผวนของตลาดหุ้นจะส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของคุณในวงจำกัด

  1. ง่ายต่อการเริ่มต้น

ไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ: คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเชิงลึก เพราะผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้คัดเลือกหุ้นและบริหารพอร์ตการลงทุนให้คุณ

เริ่มต้นได้ด้วยเงินน้อย: มีกองทุน Thai ESG หลายกองทุนที่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไม่สูง ทำให้คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนได้ง่าย

 

 

วิธีการคำนวณรายได้บุคคลธรรมดาคนไทยเพื่อลดหย่อนภาษี

การคำนวณรายได้เพื่อลดหย่อนภาษี เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถคำนวณภาษีที่ต้องชำระได้อย่างถูกต้อง โดยรายได้ที่นำมาคำนวณจะรวมถึงรายได้จากเงินเดือน ค่าตอบแทนต่างๆ รายได้จากการลงทุน และรายได้อื่นๆ ที่ได้รับในรอบปีภาษี

ขั้นตอนการคำนวณ

  1. รวบรวมเอกสาร:
    • หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย: เป็นเอกสารที่ระบุจำนวนเงินที่นายจ้างหักภาษีไว้ให้แล้ว
    • ใบแจ้งยอดเงินฝาก: ใช้สำหรับตรวจสอบรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก
    • ใบรับรองเงินปันผล: สำหรับผู้ที่ได้รับเงินปันผลจากการถือหุ้น
    • เอกสารอื่นๆ: เช่น ใบเสร็จค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจส่วนตัว (หากมี)
  2. คำนวณรายได้รวม:
    • รายได้จากเงินเดือน: รวมเงินเดือนประจำ โบนัส ค่าล่วงเวลา และสวัสดิการต่างๆ ที่ได้รับ
    • รายได้จากการประกอบธุรกิจ: รวมรายได้สุทธิจากการประกอบธุรกิจส่วนตัว
    • รายได้จากการลงทุน: รวมดอกเบี้ยเงินฝาก เงินปันผล และกำไรจากการขายหลักทรัพย์
    • รายได้อื่นๆ: รวมรายได้ที่ได้รับจากแหล่งอื่นๆ เช่น ค่าเช่า ค่าลิขสิทธิ์
  3. หักค่าใช้จ่าย:
    • ค่าใช้จ่ายส่วนตัว: หักค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลได้ไม่เกิน 100,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: หักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ 60,000 บาท
    • ค่าลดหย่อนอื่นๆ: เช่น ค่าลดหย่อนสำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการ ค่าลดหย่อนประกันสังคม เป็นต้น
  4. คำนวณเงินได้สุทธิ:
    • เงินได้สุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
  5. คำนวณภาษี:
    • นำเงินได้สุทธิที่คำนวณได้ไปเทียบกับอัตราภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด เพื่อหาจำนวนภาษีที่ต้องชำระ

ตัวอย่างการคำนวณ

  • สมมติว่า: คุณมีรายได้จากเงินเดือน 500,000 บาท ดอกเบี้ยเงินฝาก 20,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายส่วนตัว 80,000 บาท
  • คำนวณ:
    • รายได้รวม = 500,000 + 20,000 = 520,000 บาท
    • เงินได้สุทธิ = 520,000 – 80,000 – 60,000 = 380,000 บาท
    • จากนั้นนำเงินได้สุทธิไปเทียบกับอัตราภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด เพื่อหาจำนวนภาษีที่ต้องชำระ

 

 

 

 

รู้จักกองทุนไทย ESG

หากคุณกำลังมองหากองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษี ห้ามพลาดกับ “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” (กองทุน Thai ESG) ในบทความนี้ เราจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับกองทุน Thai ESG ว่าคืออะไร ดีไหม เหมาะกับใคร และควรลงทุนเท่าไร

 

 

กองทุน Thai ESG คืออะไร?

กองทุน Thai ESG เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ภายในประเทศไทยทั้งในภาครัฐและเอกชน เช่น ตราสารหนี้ และหุ้น โดยคำนึงถึงหลัก ESG (Environment, Social และ Governance) ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน

นอกจากนี้ กองทุนนี้ยังให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี โดยสามารถลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยไม่รวมกับวงเงินของกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ เช่น กองทุน SSF, RMF, เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ และกองทุนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

 

กองทุน Thai ESG เหมาะกับใคร?

กองทุน Thai ESG เหมาะกับผู้ที่สนใจลงทุนในธีม ESG และต้องการลดหย่อนภาษี โดยนักลงทุนควรเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ หากนักลงทุนรับความเสี่ยงสูง อาจเลือกลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่เน้นการลงทุนในหุ้น หรือกองทุนผสมที่มีเป้าหมายผลตอบแทนระยะยาว สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงต่ำ ควรเลือกกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาล

 

 

ควรลงทุนในกองทุน Thai ESG เท่าไร?

การลงทุนในกองทุน Thai ESG ขึ้นอยู่กับเงินได้พึงประเมินและฐานภาษีของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น นาย A มีเงินได้พึงประเมิน 300,000 บาทต่อปี เขาสามารถลงทุนในกองทุน Thai ESG ได้สูงสุด 90,000 บาท (30% ของ 300,000 บาท)

แต่หากนาย B มีเงินได้พึงประเมิน 2,000,000 บาทต่อปี เขาจะสามารถลงทุนในกองทุน Thai ESG ได้สูงสุด 300,000 บาท เนื่องจากวงเงินสูงสุดที่สามารถลงทุนได้คือ 300,000 บาท แม้ว่าจะคำนวณจาก 30% ของ 2,000,000 บาทเป็น 600,000 บาทก็ตาม

หากคุณลงทุนในกองทุน Thai ESG ครบตามสิทธิประโยชน์ภาษีแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอต่อการลดหย่อนภาษี สามารถพิจารณาลงทุนในกองทุนประเภทอื่น ๆ เช่น RMF หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

 

 

กองทุน Thai ESG ต้องถือไว้นานแค่ไหน?

การขายกองทุน Thai ESG เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี นักลงทุนจะต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงทุน

 

 

Thai ESG VS SSF ต่างกันอย่างไร?

หลายคนอาจสงสัยว่า กองทุน Thai ESG สามารถแทนที่กองทุน SSF ที่สามารถลงทุนได้จนถึงปี 2567 หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ทั้งสองกองทุนมีความแตกต่างกันในหลายด้าน:

 

  1. นโยบายการลงทุน: กองทุน Thai ESG เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศไทย ขณะที่กองทุน SSF สามารถลงทุนได้ในหลายประเภทสินทรัพย์
  2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี: กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 300,000 บาท ส่วนกองทุน SSF ลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 200,000 บาท โดยต้องรวมวงเงินจากกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ

 

นักลงทุนควรวางแผนภาษีโดยพิจารณาสภาพคล่องทางการเงิน เป้าหมายระยะยาว และระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ นอกจากนี้ ควรติดตามข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีในแต่ละปีเพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด

 

หมายเหตุ:  

– หากลงทุนกองทุน Thai ESG ก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2567 จะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนสูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 100,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปี

– หากลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป จะลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี

 

 

 

ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, กองทุน Thai ESG