ปัจจุบันต้องยอมรับว่า เทรนด์ของการผลิตสินค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกำลังมีบทบาทมากขึ้นใน กระบวนการผลิตทุกสินค้าไม่เพียง เฉพาะการใส่ใจเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแก้ภาวะโลกเดือด โดยการกำหนดดัชนีชี้วัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใสการผลิต ‘คาร์บอนฟุตปริ้น’ เท่านั้น
แต่อีกด้านหนึ่ง Water Footprint หรือ “รอยเท้าน้ำ” ค่าชี้วัดการใช้น้ำของผู้ผลิตหรือผู้บริโภค ซึ่งหมายถึงปริมาณน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการทั้งทางตรงและทางอ้อม เริ่มมีการพูดถึงมากขึ้นเช่นกัน
เพราะมีการคาดการณ์แนวโน้มอุปทานน้ำโดยรวมว่าใน 20 ปีข้างหน้า มีโอกาสที่จะมีแนวโน้มลดลง ร้อยละ 2-5 ตามความผันแปรของสภาพอากาศ ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์และการวางแผนการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติและแหล่งอื่น ๆ ได้อย่างแน่นอน

สถานการณ์น้ำโลก
จากข้อมูลล่าสุดของ Water Footprint Network ประเทศที่มีปริมาณการใช้น้ำต่อหัวมากที่สุดในโลก ได้แก่มองโกเลียซึ่งใช้น้ำ 10,000 ลิตรต่อวันต่อคน ไนเจอร์ 9,600 ลิตร โบลิเวีย 9,500 ลิตร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 8,600 ลิตร และสหรัฐอเมริกา 7,800 ลิตร เมื่อพิจารณาจากสถิติโดยรวม ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอยู่ในอันดับสูงสุด ได้แก่จีนซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำ 1,400,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี (16% ของปริมาณการใช้น้ำทั่วโลก) รองลงมาคืออินเดีย 1,100,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี (13%)

Water Footprint คืออะไร และใช้ทำอะไร?
รอยเท้าน้ำเป็นตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมที่ คล้ายกับ รอยเท้าคาร์บอน โดยวัดปริมาณน้ำจืด (เป็นลิตรหรือลูกบาศก์เมตร) ที่ใช้ตลอดห่วงโซ่การผลิตของสินค้าอุปโภคบริโภคหรือบริการต่างๆ สามารถใช้วัดปริมาณการใช้น้ำสำหรับแทบทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิตกางเกงขายาวไปจนถึงการบริโภคทั้งหมดของประเทศ เช่น การเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือกิจกรรมประจำปีของบริษัท
แนวคิดเรื่อง “รอยเท้าน้ำ” เกิดขึ้นในปี 2002 โดย Arjen Hoekstra ขณะที่เขาทำงานที่ IHE Delft Institute for Water Education (UNESCO-IHE) ต่อมาในปี 2008 เนื่องจากอุตสาหกรรมให้ความสนใจเรื่องรอยเท้าน้ำมากขึ้น เขาจึงได้ก่อตั้งWater Footprint Networkร่วมกับบุคคลสำคัญจากโลกธุรกิจ ประชาชน และสถาบันการศึกษา โดยทั่วไปแล้ว วัตถุประสงค์ของรอยเท้าน้ำคือเพื่อ สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปริมาณน้ำมหาศาลที่กระบวนการผลิตและวิถีชีวิตของเราต้องการ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีเหตุมีผลและยั่งยืน

Water Footprint มีกี่ประเภท?
ตามข้อมูลของ Water Footprint Network ระบุว่า Water Footprint ประกอบด้วย3 สิ่งขึ้นอยู่กับว่าน้ำมาจากที่ใด
- รอยเท้าน้ำสีเขียว (Green Water Footprint) คือ น้ำที่เกิดจากการตกตะกอน (ฝนหรือหิมะ) ซึ่งถูกกักเก็บไว้ในบริเวณรากของดินและระเหย คายออก หรือรวมเข้ากับพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พืชสวน และป่าไม้
- รอยเท้าน้ำสีน้ำเงิน (Blue Water Footprint) คือ น้ำที่มาจากแหล่งน้ำผิวดินหรือน้ำใต้ดิน และถูกระเหย ผสมลงในผลิตภัณฑ์ หรือทิ้งลงทะเล เกษตรกรรมชลประทาน อุตสาหกรรม และการใช้น้ำในครัวเรือนต่างก็มีรอยเท้าน้ำสีน้ำเงิน
- รอยเท้าน้ำสีเทา (Gray Water Footprint) คือปริมาณน้ำที่ใช้ในการบำบัดน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นน้ำดีตามค่ามาตรฐานอีกครั้ง ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนของน้ำเสียที่มีแหล่งกำเนิดแน่นอน (point source) อย่างเช่นแหล่งชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม และน้ำเสียที่มีแหล่งกำเนิดไม่แน่นอน (non-point source) เช่น น้ำท่าที่ไหลมาตามการชะล้างจากผิวดิน
ทำไมต้องเก็บข้อมูล Water Footprint
หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าสาเหตุอะไรที่เราจะต้องเก็บข้อมูล Water Footprint อย่างละเอียดที่ไม่ใช่เพียงเพราะการประหยัดน้ำในกระบวนการผลิตเท่านั้น แต่ การทราบปริมาณการใช้น้ำของผลิตภัณฑ์หนึ่งจะทำให้เห็นตัวเลขของการใช้น้ำจริงที่ซ่อนอยู่ในการผลิตผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน
สามารถนำมาใช้ประเมินผลกระทบที่เกิดจากการผลิตสินค้าและบริการต่อการใช้ทรัพยากรน้ำได้ ซึ่งจะนำมาบริหารจัดการการขาดแคลนน้ำ รวมทั้งนำไปสู่แนวทางแก้ปัญหาที่เชื่อมโยงกับกระบวนการผลิตสินค้าทั้งห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีคำนวณ Water Footprint
การคำนวณ Water Footprint ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห่วงโซ่การผลิต จะวัดทั้งปริมาณน้ำที่ใช้วัดจากปริมาณน้ำที่ระเหยหรือสูญเสียจากกระบวนการผลิตทั้งหมด รวมถึงปริมาณน้ำที่ต้องใช้ในการบำบัดน้ำเสียให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะสามารถบอกถึงปริมาณน้ำทั้งหมดที่ใช้ต่อ 1 หน่วยผลิตภัณฑ์
โดยมีวิธีการคำนวณ Water footprint มีประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
- Water footprint ภายในหมายถึง ปริมาณน้ำที่ใช้ภายในประเทศเพื่อผลิตสินค้าและบริการสำหรับประชาชนในประเทศนั้น
- Water footprint ภายนอกหมายถึง ปริมาณน้ำที่ใช้ในประเทศอื่นเพื่อผลิตสินค้าและบริการให้ประเทศนั้นนำเข้ามาบริโภค
ต้องใช้น้ำกี่ลิตรในการผลิตอาหาร และผลิตภัณฑ์ต่าง ?
ทราบไหมว่า? การผลิตรถยนต์ 1 คันต้องใช้น้ำมากถึง 147,760 ลิตร การผลิตกางเกงยีนส์ 1 ตัวจะต้องใช้น้ำมากถึง 6,800 ลิตร เพื่อนำไปปลูกฝ้ายสำหรับผลิตเส้นด้ายในการผลิตกางเกงยีนส์ 1 ตัว
ขณะที่ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ในการผลิตนม 1 ลิตร จำเป็นต้องใช้น้ำ 1,000 ลิตร เราทราบข้อเท็จจริงนี้จากการใช้น้ำ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใช้วัดปริมาณการใช้น้ำเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ แนวคิดดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำอย่างมีเหตุผล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและการเพิ่มขึ้นของประชากร และยิ่งเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำเกิดปัญหาน้ำแล้งอย่างนี้จะส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมที่ใช้น้ำเป็นองค์ประกอบ
เพื่อให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเพิ่มเติม การคำนวณ Water Footprint กระบวนการผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงมือผู้บริโภค เช่น
- รถยนต์ 1 คัน ใช้น้ำ 147,760 ลิตร
- ผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัม ใช้น้ำ 15,500 ลิตร
- กางเกงยีนส์ 1 ตัว ใช้น้ำ 6,800 ลิตร
- ผลิตเนื้อไก่ 1 กิโลกรัม ใช้น้ำ 3,900 ลิตร
- ผลิตข้าว 1 กิโลกรัม ใช้น้ำ 3,400 ลิตร
- เสื้อยืด 1 ตัว ใช้น้ำ 2,995 ลิตร
- ผลิตแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้น ใช้น้ำ 2,400 ลิตร
- ผลิตน้ำตาล 1 กิโลกรัม ใช้น้ำ 1,500 ลิตร
- พิซซ่า 1 ถาด ใช้น้ำ 1,259 ลิตร
- ข้าวโพด 1 กิโลกรัม ใช้น้ำ 1,222 ลิตร
- ผลิตมะเขือเทศ 1 กก. ใช้น้ำ 1 ลิตร
- ผลิตกาแฟ 1 ถ้วย ใช้น้ำ 140 ลิตร
จะเห็นว่าค่า Water Footprint การผลิตสินค้าของไทยหลายตัวยังอยู่ระดับสูง นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลต้อวางนโยบายเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำว่าทำอย่างไรจะทำให้กระบวนการผลิตต่างๆเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนน้ำ

ความสำคัญของรอยเท้าน้ำในสถานการณ์วิกฤตน้ำโลก
ทรัพยากรน้ำกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญจากหลายปัจจัย
- การเพิ่มขึ้นของประชากรและการพัฒนาเศรษฐกิจ
- การใช้น้ำมหาศาลในการผลิตอาหาร พลังงาน และสินค้าส่งออก
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อวัฏจักรน้ำ
จากการคาดการณ์ ในอีก 10 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้น้ำจะสูงกว่าปริมาณน้ำที่มีอยู่ถึง 40 % “รอยเท้าน้ำ” จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยประเมินปริมาณน้ำที่ใช้จริงในการผลิตสินค้าและบริการ และทราบถึงปริมาณน้ำ “ที่มองไม่เห็น” ในกระบวนการผลิตต่าง ๆ
ดังนั้น การเข้าใจ Water Footprint หรือ รอยเท้าน้ำ จะนำไปสู่การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น เพื่อรับมือกับวิกฤตน้ำที่กำลังเข้ามาในอนาคตอันใกล้
อ้างอิง
https://www.iberdrola.com/sustainability/what-is-water-footprint
https://ngthai.com/science/40774/water-footprint/
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
ยิ่งเติบโตยิ่งกินเยอะ! เมื่อ “AI” และ “ดาต้าเซ็นเตอร์” ใช้น้ำและพลังงานมหาศาล ไทยจะไปทางไหนดี
