“ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่คือเงื่อนไขสำคัญของการทำธุรกิจ” ถ้อยคำสั้น ๆ แต่ทรงพลังของคุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (SCG) ที่กล่าวบนเวที Forbes Global CEO Conference 2025 ณ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ก้องกังวานไปทั้งห้องประชุมใหญ่ที่มีผู้นำธุรกิจและนักคิดชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 400 คนเข้าร่วม ความหมายของถ้อยคำนี้ไม่เพียงบ่งบอกถึงเจตนารมณ์ของผู้นำองค์กรหนึ่ง แต่ยังสะท้อนการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่ธุรกิจดั้งเดิมอย่าง SCG กำลังผลักดันให้เกิดขึ้นในระดับโลก
ตลอดเส้นทางกว่า 112 ปี SCG เริ่มต้นจากอุตสาหกรรมหนักอย่างซีเมนต์ ธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงตามธรรมชาติของกระบวนการผลิต แต่การอยู่รอดในโลกที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น ไม่อาจฝากอนาคตไว้กับวิธีคิดแบบเดิมได้อีกต่อไป คุณธรรมศักดิ์จึงประกาศต่อเวทีโลกว่า SCG กำลังขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ “Inclusive Green Growth” หรือการเติบโตที่ครอบคลุมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เพียงคิดถึงผลกำไรวันนี้ แต่ยังมองไกลไปถึงผู้คนรุ่นต่อไปและโลกที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า
Inclusive Green Growth- การเติบโตที่แข็งแรงและยั่งยืน
“Green must also be Growth.” เขาย้ำในคำปราศรัย เพื่อชี้ให้เห็นว่าความยั่งยืนจะไม่เกิดขึ้นจริง หากไม่ได้ผูกโยงกับความสามารถในการแข่งขันและการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจน ตัวอย่างที่พิสูจน์แล้วคือการพัฒนา ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Cement) ที่ SCG ลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังได้รับการตอบรับดีจากตลาดและทำกำไรได้จริง นี่คือตัวอย่างของการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความยั่งยืน ที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจสามารถทำได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน

การเปลี่ยนผ่านนี้ ไม่ได้หยุดอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ แต่ยังลึกไปถึงโครงสร้างการทำงานของทั้งองค์กร SCG ใช้ AI Robotics และ Deep Tech เป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนสู่ Net Zero 2050 เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้สินค้ามีคุณภาพสูงขึ้น ลดต้นทุน และขยายขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นคือช่วยลดคาร์บอนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เช่น การใช้ AI วิเคราะห์เส้นทางเก็บรวบรวมชีวมวลให้มีประสิทธิภาพ หรือการพัฒนาซีเมนต์รุ่นใหม่ที่ลดอุณหภูมิในกระบวนการผลิต ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เลยทีเดียว

“เทคโนโลยี” กุญแจที่ทำให้ Green = Competitive
คุณธรรมศักดิ์อธิบายว่า “เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI Robotics และ Deep Tech คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ Green = Competitive” และสิ่งสำคัญคือ AI ไม่ได้ช่วยเฉพาะ SCG แต่ยังเปิดทางให้พันธมิตรและผู้ผลิตในซัพพลายเชนได้ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเดียวกัน นำไปสู่การสร้าง “Impact Chain” ที่ทุกฝ่ายเติบโตไปพร้อมกัน แนวคิดนี้ทำให้การขับเคลื่อนความยั่งยืนไม่ใช่ภาระขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือที่สร้างผลกระทบกว้างขวางทั้งระบบ

ในเชิงกลยุทธ์ SCG มีแผนลดคาร์บอนที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการ ใช้ชีวมวลแทนถ่านหิน ซึ่งลดการพึ่งพาถ่านหิน และช่วยลดต้นทุนไปพร้อมกัน การพัฒนา ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ รุ่นที่ 3 (Low-Carbon Cement Generation 3 ) ที่ลดการใช้พลังงานและคาร์บอนลงมหาศาล และการผลักดันให้กระบวนการผลิตเป็นระบบอัตโนมัติในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เพื่อตอบโจทย์กฎเกณฑ์สิ่งแวดล้อมระดับโลกที่เข้มงวดขึ้น เช่น Carbon Tariff หรือ CBAM แต่เป็นการยกระดับองค์กรให้อยู่รอด แข่งขันได้ และเติบโตในระยะยาว

บนเวทีระดับโลก SCG จึงไม่ได้ถูกมองเพียงในฐานะธุรกิจไทยรายใหญ่ แต่ยังถูกยกให้เป็นต้นแบบ ESG ของภูมิภาคเอเชีย การปรากฏตัวในงาน Forbes Global CEO Conference 2025 คือการยืนยันว่าธุรกิจไทยสามารถยืนเคียงข้างองค์กรชั้นนำของโลกได้อย่างสง่างาม และยังช่วยยกระดับภาพลักษณ์ประเทศในมิติ ESG อย่างแท้จริง
คุณธรรมศักดิ์เน้นว่า “SCG จะไม่เดินเดี่ยว แต่จะเติบโตไปพร้อมกับโลกที่ยั่งยืน” นี่คือคำประกาศที่สะท้อนทั้งความมุ่งมั่นขององค์กรและความภาคภูมิใจในฐานะผู้นำจากประเทศไทย

คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG
ก่อนจบการบรรยาย เขาฝากสารสำคัญถึงคนรุ่นใหม่ว่า เส้นทางสู่ Net Zero เป็นการเดินทางระยะยาวที่ต้องสานต่อรุ่นต่อรุ่น “Green ต้อง Competitive” เขากล่าว “การทำเพื่อโลกต้องมาพร้อมกับการทำให้แข่งขันได้จริง และการลดคาร์บอนไม่ใช่แค่โครงการหนึ่ง แต่คือโครงสร้างธุรกิจของอนาคต”
ข้อความนี้ไม่เพียงสะท้อนพันธกิจของ SCG แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้นำธุรกิจทั่วโลก ว่า การสร้างธุรกิจที่แข็งแรง โลกที่แข็งแรง และอนาคตที่แข็งแรงไปพร้อมกันนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง และกำลังเกิดขึ้นแล้ว

ติดตามเรื่องราวความยั่งยืนของ SCG ได้ที่
อ่านบทความเพิ่มเติม:
