แอร์บัสเล็ง ‘ไทย’ เป็นผู้นำผลิต SAF แห่งอาเซียน เปลี่ยนน้ำมันพืชใช้แล้วเป็น ‘พลังงานชีวภาพ’ มูลค่าสูง

แอร์บัสเล็ง ‘ไทย’ เป็นผู้นำผลิต SAF แห่งอาเซียน เปลี่ยนน้ำมันพืชใช้แล้วเป็น ‘พลังงานชีวภาพ’ มูลค่าสูง

ในสถานการณ์โลกที่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น อุตสาหกรรมการบินซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก กำลังเผชิญกับความท้าทายในการลดการปล่อยคาร์บอน เชื้อเพลิงการบินยั่งยืน หรือ SAF จึงกลายเป็นความหวังสำคัญของอุตสาหกรรม

ล่าสุด แอร์บัส ผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของโลกได้ออกมาชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิต SAF พลังงานชีวภาพการบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

 

SAF ทางรอดการบินยั่งยืน

 

จูลี่ คิทเชอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืน บริษัทแอร์บัส (Airbus) ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันการนำ SAF มาใช้ยังมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของเชื้อเพลิงการบินทั่วโลก หากต้องการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 จำเป็นต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้ SAF เป็น 6% ภายในปี 2573 และ 20% ภายในปี 2578

 

แต่ความท้าทายสำคัญคือ ปริมาณการผลิต SAF ทั่วโลกยังเติบโตช้า และราคายังสูงกว่าน้ำมันการบินทั่วไปถึง 3-5 เท่า เนื่องจากอุตสาหกรรม SAF ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา

อย่างไรก็ตาม เธอมองเห็นแนวโน้มที่ดีของผู้ผลิต SAF ทั้งในระดับโลกและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการประมาณการว่า วัตถุดิบที่มีศักยภาพสำหรับการผลิต SAF ราว 40% ของทั้งโลกนั้นอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีการประเมินว่า กลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงไทย จะมีศักยภาพผลิต SAF ได้มากถึง 26 ล้านตันต่อปี ซึ่งเกินกว่าความต้องการใช้เชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานของประเทศเหล่านี้รวมกันประมาณ 22 ล้านตันในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19

 

“ดังนั้น การพูดถึงการพึ่งพาตนเองในระดับภูมิภาค หรือโอกาสในการส่งออกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด มีการศึกษาพบว่าอุตสาหกรรม SAF อาจสร้างงานได้ถึง 14 ล้านตำแหน่งทั่วโลก ซึ่งยังไม่นับรวมถึงงานกว่า 86 ล้านตำแหน่งที่อุตสาหกรรมการบินได้ให้การสนับสนุนอยู่แล้ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม” จูลี่กล่าวระหว่างการเดินทางมาเยือนประเทศไทย

 

                                                                           Cr. Facebook Bangchak

 

SAF คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ

 

SAF หรือ Sustainable Aviation Fuel คือเชื้อเพลิงอากาศยานทางเลือกที่ผลิตจากวัตถุดิบชีวภาพหรือของเสียทางชีวภาพ เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว ชีวมวลจากการเกษตร ขยะอินทรีย์ สาหร่าย หรือแม้กระทั่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับมาจากอากาศ ความสำคัญของ SAF อยู่ที่การลดการปล่อยคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป

 

ที่สำคัญ SAF เป็น Drop-in Fuel ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้กับเครื่องบินที่มีอยู่ได้ทันทีโดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ และสามารถผสมกับน้ำมันการบินทั่วไปได้ในสัดส่วนสูงสุดถึง 50% ในปัจจุบัน

SAF เป็น “พลังงานหมุนเวียน” ที่ผลิตจากวัตถุดิบชีวภาพหลากหลาย เช่น น้ำมันพืชใช้แล้วและไขมันสัตว์ ของเสียทางการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด กาบมะพร้าว เศษหญ้า ขยะชีวภาพ เช่น เศษอาหารและบรรจุภัณฑ์ และได้รับการรับรองความยั่งยืนจาก The Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation (CORSIA) ซึ่งเป็นโครงการชดเชยคาร์บอนระดับนานาชาติ

 

หน่วยงานกำกับดูแลการบินทั่วโลกเริ่มกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับเป้าหมายสัดส่วนที่สายการบินต้องใช้ SAF  เช่น สหราชอาณาจักรจะเริ่มบังคับใช้ SAF ในเชื้อเพลิงเครื่องบิน ในปี 2569 ด้วยสัดส่วนขั้นต่ำ 2% และเพิ่มเป็น 10% ภายในปี 2573 ด้านสหภาพยุโรปกำหนดให้ต้องใช้ SAF ในปี 2569 ด้วยสัดส่วนขั้นต่ำ 2% และเพิ่มขึ้นเป็น 70% ภายในปี 2593 หลายประเทศในเอเชียเริ่มจัดทำนโยบาย SAF ระดับชาติ เช่น ญี่ปุ่นก็ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10% ภายในปี 2573

 

ปัจจุบัน มีสายการบินกว่า 40 แห่งทั่วโลก ที่เริ่มใช้ SAF และบริษัทแอร์บัสกำลังพัฒนาให้เครื่องบินสามารถใช้ SAF ได้ 100% ภายในปี 2573

 

 

แอร์บัสมองเห็นศักยภาพของไทย

 

จูลี่ คิทเชอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืน บริษัทแอร์บัส (Airbus) กล่าวว่า มองเห็นอนาคตที่สดใสของประเทศไทยในฐานะผู้ผลิต SAF ประเทศไทยมีรากฐานที่มั่นคงในภาคพลังงาน ทั้งพลังงานหมุนเวียน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ผสานกับความแข็งแกร่งของภาคเกษตรกรรม ทำให้ไทยมีศักยภาพในการผลิต SAF จากวัตถุดิบหลากหลาย ที่สามารถนำมาผลิต SAF ได้ โดย

 

 

วัตถุดิบในประเทศไทยที่มีศักยภาพ ได้แก่

  1. น้ำมันพืชใช้แล้ว จากอุตสาหกรรมอาหาร ร้านอาหาร และครัวเรือน
  2. ชีวมวลทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด เศษวัสดุเหลือใช้จากปาล์มน้ำมัน
  3. ขยะอินทรีย์ จากโรงงานแปรรูปอาหาร ตลาดสด และขยะครัวเรือน
  4. พืชน้ำมัน เช่น ปาล์มน้ำมัน สบู่ดำ และสาหร่าย ซึ่งมีศักยภาพในการเพาะปลูกในประเทศ

การที่ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก ทำให้มีวัตถุดิบเหลือใช้จำนวนมากที่สามารถนำมาแปรรูปเป็น SAF ได้ ช่วยลดปัญหาขยะและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือทิ้ง

 

ปัจจุบัน โครงการผลิต SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้วของไทยกำลังคืบหน้า เช่น บริษัทบางจากที่กำลังจะเปิดโรงงานผลิต SAF ในเร็ว ๆ นี้ ด้วยเป้าหมายผลิตถึง 2.3 ล้านบาร์เรลต่อปี ภายในปี 2568 นอกจากนี้ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล ก็ได้เริ่มต้นผลิต SAF ด้วยกระบวนการกลั่นร่วม ขณะที่เทคโนโลยีการผลิต SAF จากแอลกอฮอล์หรือเอทานอล (Alcohol-to-Jet Fuel) ก็เป็นอีกหนึ่งความหวังในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเพิ่มขึ้น ทำให้มีเอทานอลส่วนเกินสำหรับการผลิต SAF มากขึ้น ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ไทยมีศักยภาพผลิต SAF ได้มากถึง 5 ล้านตันต่อปี

 

 

ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

การพัฒนาอุตสาหกรรม SAF ในประเทศไทยจะได้ประโยชน์หลายประการ

  • การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ของไทยภายในปี 2050
  • สร้างรายได้ใหม่ให้เกษตรกร จากการขายวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
  • ลดการนำเข้าน้ำมัน ช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
  • ดึงดูดการลงทุน ในเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานสะอาด
  • เพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้ง สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

 

ตามการประเมินเบื้องต้น หากไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรม SAF ได้ตามเป้าหมาย จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างงานใหม่กว่า 10,000 ตำแหน่ง

 

 

ความท้าทายและทางออกของไทย

 

แม้จะมีศักยภาพสูง แต่การพัฒนาอุตสาหกรรม SAF ในไทยยังมีความท้าทายหลายประการ

  1. ต้นทุนการผลิตที่สูง ปัจจุบัน SAF มีราคาสูงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป 2-5 เท่า
  2. การลงทุนในเทคโนโลยี ต้องการเงินลงทุนสูงในการพัฒนาโรงงานและเทคโนโลยีการผลิต
  3. มาตรฐานและการรับรอง ต้องพัฒนาระบบมาตรฐานและการรับรองที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
  4. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ต้องพัฒนาระบบการจัดการวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ

แอร์บัสได้เสนอแนวทางความร่วมมือกับประเทศไทย โดยเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาร่วมกัน และการสร้างตลาดผ่านความร่วมมือกับสายการบินพันธมิตร

 

นโยบายสนับสนุนที่จำเป็น

 

เพื่อให้ไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน SAF ในภูมิภาค จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น

  • มาตรการจูงใจทางภาษี การลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรม SAF
  • การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ผ่านกองทุนวิจัยและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย
  • การกำหนดเป้าหมายการใช้ SAF ในอุตสาหกรรมการบินของประเทศ
  • การเชื่อมโยงกับนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลกำลังผลักดัน

 

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานและกระทรวงคมนาคมได้เริ่มหารือเพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา SAF แห่งชาติแล้ว โดยตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้ผลิต SAF รายสำคัญในภูมิภาคภายในปี 2030

 

การที่แอร์บัส ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของโลก ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิต SAF นับเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจสำหรับประเทศ ด้วยทรัพยากรทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม ประเทศไทยมีโอกาสที่จะต่อยอดจากการเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ ไปสู่การเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงแห่งอนาคตที่ช่วยขับเคลื่อนการบินยั่งยืนของโลก

หากสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ SAF จะไม่เพียงเป็นทางรอดของอุตสาหกรรมการบินในยุคที่โลกกำลังมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทองในการยกระดับ SME และภาคเกษตรกรรมไทยสู่อุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพที่มีมูลค่าสูง สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลกด้วย

 

 

อ้างอิง

https://www.thestorythailand.com/12/04/2025/151520/

https://mgronline.com/business/detail/968000003486

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

 

จากขยะสร้างมลพิษ! สู่โอกาสธุรกิจใหม่ ‘รีไซเคิลแบตเตอรี่ EV’ สร้างรายได้ ลดโลกร้อน