ส่องไอเดียสตาร์ทอัพไทย เจ้าของธุรกิจ ‘นอนนอน’ รายแรกของโลก บริการให้เช่าที่นอนใหม่ พร้อมระบบรีไซเคิล ดึงงานวิจัยสร้างธุรกิจสีเขียว ลดคาร์บอน พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลฟองน้ำ ส่วนประกอบที่นอน ที่มีสารเคมี รีไซเคิลยากที่สุด
‘ที่นอน’ เมื่อหมดสภาพการใช้งานแล้ว มักจะถูกทิ้งกลายเป็นขยะที่ยากต่อการจัดการ เนื่องจากน้ำหนักที่มาก ขนาดที่ใหญ่ และมีปริมาณมหาศาลที่ถูกทิ้งในแต่ละปี
ทั้งนี้สมาพันธ์ที่นอนแห่งชาติ (National Bed Federation) สหราชอาณาจักร ประมาณการว่าในช่วงปี 2559-2563 มีจำนวนที่นอนที่ถูกทิ้งในสหราชอาณาจักรโดยเฉลี่ยมากถึง 7 ล้านชิ้นต่อปี โดยประมาณการดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่ามีจำนวนที่นอนที่ถูกทิ้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างน้อยหลายสิบล้านชิ้นต่อปี
ที่ผ่านมา ที่นอนยังเป็นสินค้าที่ไม่คุ้มค่าต่อการรีไซเคิล เนื่องจากผลของการรีไซเคิลนั้นมีมูลค่าทางเศรษฐกิจต่ำ และการจัดเก็บที่นอนกลับมาเพื่อรีไซเคิลนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นที่นอนที่ใช้แล้วส่วนใหญ่จึงถูกทิ้งในที่ฝังกลบหรือเผาทำลาย ซึ่งปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่สตาร์ทอัพไทยได้ผุดธุรกิจชื่อ ‘นอนนอน’ (nornnorn) ขึ้นมา เพื่อหวังจะแก้ปัญหาดังกล่าว
จุดเริ่มต้นจากธุรกิจให้เช่าที่นอน
สู่การรับกลับไปรีไซเคิล
นพพล เตชะพันธ์งาม ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท เซอร์คิวลาร์ริตี จำกัด เจ้าของธุรกิจนอนนอน กล่าวว่า นอนนอน คือธุรกิจให้เช่าที่นอน เพื่อมอบช่องทางในการเข้าถึงที่นอนใหม่คุณภาพสูงให้กับโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจให้บริการที่พักอื่นๆ ตลอดจนผู้ใช้ตามบ้าน ในราคาที่เข้าถึงง่ายเริ่มต้นเดือนละ 89 บาท โดยสำหรับผู้ใช้ตามบ้านสัญญาเช่าจะเริ่มต้นที่ 12 เดือน ลูกค้ายิ่งทำสัญญานานค่าเช่าต่อเดือนก็จะยิ่งถูกลง และถ้าต่อสัญญาฯ ค่าเช่าต่อเดือนก็จะลดลงไปอีก และช่วยรับที่นอนที่พ้นสภาพการใช้งานแล้วกลับมาแยกชิ้นส่วนไปรีไซเคิลหรืออัพไซเคิล ด้วยความมุ่งหวังที่จะดำเนินธุรกิจในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีธรรมาภิบาล ช่วยเหลือสังคม และมีความยั่งยืน บรรลุสู่เป้าหมายสำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนระบบการผลิตและระบบอุปโภคเพื่อสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ช่วยขับเคลื่อนประเทศชาติสู่สังคมไร้คาร์บอน
“แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เกิดไอเดียนี้ คือ ในช่วงที่ช่วยงานธุรกิจที่บ้าน ซึ่งก็เป็นธุรกิจที่นอน พบว่ามีออเดอร์จำนวนมากหลุดไป เนื่องจากลูกค้าไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะซื้อที่นอนคุณภาพสูง และมีลูกค้าหลายรายนำที่นอนเก่ามาขอให้ช่วยกำจัด เพราะไม่รู้จะเอาไปทิ้งที่ไหน ประกอบกับตอนนั้นเริ่มได้ยินเรื่องแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน จึงลองเสนอไอเดียธุรกิจใหม่นี้กับที่บ้าน โดยในเวลานั้น ทางครอบครัวมองว่าธุรกิจแบบใหม่นี้มีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นเรื่องใหม่มากๆ ประกอบกับยังไม่ได้มีเสียงเรียกร้องหรือความต้องการเรื่องการรักษ์สิ่งแวดล้อมจากลูกค้า จึงคิดว่าธุรกิจนี้ยังไม่เหมาะที่จะเริ่มทำ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นประเด็นสำคัญในอนาคต”
พัฒนางานวิจัยสร้างเทคโนโลยีรีไซเคิล
เริ่มจากหาแนวทางรีไซเคิลฟองน้ำ ทำยากสุด
นพพล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันกระบวนการให้บริการเช่าที่นอนเริ่มเข้ารูปเข้ารอย สิ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญต่อไปของ นอนนอน จึงเป็นการสร้างเทคโนโลยีสำหรับการรีไซเคิลที่นอน ซึ่งด้วยกระบวนการและเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน กระบวนการรีไซเคิลจะมีโอกาสขาดทุนสูง เนื่องจากต้นทุนของกระบวนการสูงกว่ามูลค่าของผลลัพธ์ที่ได้ แต่นอนนอนมองว่า หากมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดการขาดทุนให้น้อยลง จนกระบวนการอาจถึงจุดคุ้มทุนได้ในที่สุด ขณะเดียวกันก็สามารถช่วยประเทศชาติลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนได้ ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
“นอนนอนเริ่มต้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลฟองน้ำ เนื่องจากเป็นส่วนประกอบสำคัญในที่นอนที่รีไซเคิลยากที่สุด และในปัจจุบันมีเศษซากฟองน้ำที่เกิดจากที่นอนและเฟอร์นิเจอร์ที่พ้นสภาพการใช้งานแล้วจำนวนมาก ฟองน้ำที่ตั้งใจที่จะรีไซเคิล ความจริงกระบวนการพื้นฐานทางเคมีนั้นมีอยู่แล้ว แต่ว่าใช้ความร้อนสูง ซึ่งหมายความว่าต้องใช้พลังงานสูง ต้นทุนจึงสูงตามไปด้วย เลยพยายามหาวิธีการที่จะช่วยลดพลังงานที่ต้องใช้ในกระบวนการเพื่อลดต้นทุน และเพื่อให้กระบวนการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ฟองน้ำ ซึ่งผลิตมาจากน้ำมัน ถ้าเราจะผลิตฟองน้ำจากน้ำมันตลอด ก็ต้องไปขุดเจาะน้ำมันขึ้นมา แล้วนำน้ำมันดิบเข้าสู่กระบวนการต่างๆ จนได้สารเคมีที่ใช้ในการผลิตฟองน้ำ กระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบนี้ใช้พลังงานเยอะมาก ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากมาย นำมาซึ่งปัญหาโลกเดือด แต่ถ้าเรานำฟองน้ำเก่าจากที่นอนกลับมารีไซเคิลให้เป็นสารเคมีที่ใช้ทำฟองน้ำใหม่ได้ ใช้ทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้ แทนที่จะนำฟองน้ำไปทิ้ง ฝังกลบ หรือเผาทำลาย ก็จะช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกได้มหาศาล”
ได้ทุนจากสหราชอาณาจักร และบพข.
ต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลฟองน้ำ
ในปี 2564 นอนนอนได้รับทุนวิจัยจาก Royal Academy of Engineering สหราชอาณาจักร และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำหรับโครงการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลฟองน้ำดังกล่าว และนอกเหนือจากทุนวิจัยนี้แล้ว ในปีเดียวกันนอนนอนยังได้รับทุนจาก บพข. ในแผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วย สำหรับโครงการประเมินศักยภาพของนอนนอนในการช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกและมลภาวะตลอดวัฏจักรชีวิตของที่นอนด้วยเทคนิคการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment: LCA) ภายใต้ชื่อโครงการการศึกษารูปแบบธุรกิจ ‘การบริการในรูปแบบสินค้า’ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยเทคนิคการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment: LCA): กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์ที่นอนที่ใช้ในธุรกิจโรงแรม อีกด้วย
ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นการทำ LCA ครั้งแรกของอุตสาหกรรมที่นอนในประเทศไทย และได้ถูกดำเนินการโดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (สทสย.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2564 ถึง เดือนมกราคม 2566 โดยทางนอนนอนได้เผยแพร่ผลสำเร็จของโครงการฯ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา
โชว์ศักยภาพสตาร์ทอัพไทยรักษ์โลก
โดย LCA เป็นวิธีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงปริมาณที่พิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การขุดนำเอาทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้เป็นวัตถุดิบ การจัดส่งวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต การผลิตผลิตภัณฑ์ การจัดส่งผลิตภัณฑ์ไปสู่การใช้งาน การใช้งานผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการทิ้งหรือกำจัดซากของผลิตภัณฑ์เมื่อสิ้นสุดการใช้งาน โดยในการศึกษาครั้งนี้ ได้จำแนกวัฏจักรชีวิตของที่นอนที่ใช้ในอุตสาหกรรมโรงแรมออกเป็น 5 สถานการณ์ด้วยกัน ภายใต้สมมติฐานการใช้งานที่นอนเป็นระยะเวลา 10 ปี
สถานการณ์ที่ 1: การใช้ที่นอนคุณภาพสูงที่มีอายุการใช้งาน 10 ปี ที่สุดท้ายที่นอนถูกกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบ 100%
สถานการณ์ที่ 2: การใช้ที่นอนคุณภาพสูงที่มีอายุการใช้งาน 10 ปี ที่สุดท้ายที่นอนถูกกำจัดด้วยวิธีการตามปกติของธุรกิจโรงแรม (อ้างอิงตามผลสำรวจโรงแรม จำนวน 354 แห่ง และหน่วยงานจัดการขยะทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 50 แห่ง ใน 8 สำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งได้แก่ กรุงเทพมหานคร จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย เมืองพัทยา จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ จ.นครราชสีมา และ จ.ขอนแก่น)
สถานการณ์ที่ 3: การใช้ที่นอนคุณภาพสูงที่มีอายุการใช้งาน 10 ปี ที่สุดท้ายที่นอนถูกนำไปรีไซเคิลตามรูปแบบธุรกิจของนอนนอน
สถานการณ์ที่ 4: การใช้ที่นอนคุณภาพต่ำที่มีอายุการใช้งาน 3 ปี (คิดเป็นที่นอนทั้งหมด 3.33 ชิ้น) ที่สุดท้ายที่นอนถูกกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบ 100%
สถานการณ์ที่ 5: การใช้ที่นอนคุณภาพต่ำที่มีอายุการใช้งาน 3 ปี (คิดเป็นที่นอนทั้งหมด 3.33 ชิ้น) ที่สุดท้ายที่นอนถูกกำจัดด้วยวิธีการตามปกติของธุรกิจโรงแรม (อ้างอิงตามผลสำรวจฯ)
โดยที่นอนคุณภาพสูงที่ใช้เป็นหน่วยศึกษา (functional unit) คือ ที่นอน ยี่ห้อ สปริงเมทของธุรกิจนอนนอนเอง รุ่น Pocket Coil Heritage PT ขนาด 107 x 198 ซม. ส่วนที่นอนคุณภาพต่ำเป็นขนาดเดียวกัน แบบที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป
จากผลสำรวจฯ พบว่า หลังพ้นการใช้งานแล้ว ประมาณ 50% ของที่นอน (โดยน้ำหนัก) จะถูกโรงแรมส่งไปฝังกลบ 30% ถูกจำหน่าย บริจาค หรือส่งต่อเพื่อนำไปใช้งานซ้ำ 17% ถูกนำไปรีไซเคิล และ 3% ถูกนำไปเผา (เทียบกับการจัดการซากที่นอนตามรูปแบบธุรกิจของนอนนอนที่อย่างน้อย 62% ของที่นอน (ลวดสปริง ฟองน้ำ ฯลฯ) จะถูกนำไปแยกชิ้นส่วนไปรีไซเคิล ซึ่งเท่ากับเป็นการลดการนำที่นอนไปฝังกลบและเผาทำลาย)
จากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นใน 5 สถานการณ์ดังกล่าวด้วยวิธีการ ReCiPe Midpoint และ ReCiPe Endpoint อันเป็นวิธี LCA ของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งหมด 17 ด้าน พบว่ามีผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่หนักที่สุด 3 ด้านในทั้ง 5 สถานการณ์ ได้แก่ ผลกระทบด้านภาวะโลกร้อน การก่อตัวของอนุภาคขนาดเล็ก (fine particulate matter formation) หรือมลภาวะทางอากาศ (PM2.5) และการก่อตัวของสารพิษที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ (human non-carcinogenic toxicity)
และผลสำรวจผลกระทบทั้ง 3 ด้านใน 5 สถานการณ์ ยังพบอีกว่า รูปแบบธุรกิจของนอนนอน (สถานการณ์ที่ 3) สามารถช่วยลดการเกิดภาวะโลกร้อนได้อย่างน้อย 31% การเกิดมลภาวะทางอากาศอย่างน้อย 28% และการเกิดสารพิษที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์อย่างน้อย 24% (เปรียบเทียบสถานการณ์ที่ 2 และ 3)
ที่มาข้อมูล : จากเว็บไซต์นอนนอน และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)