ภาพรวมทิศทางความยั่งยืนในปี 2024 ลงมือเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ภาพรวมทิศทางความยั่งยืนในปี 2024 ลงมือเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดีกว่า

นโยบายความยั่งยืนในปี 2024 มุ่งเน้นที่การพัฒนาเศรษฐกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยมีการปรับใช้หลายเทคโนโลยีและแนวทางที่ส่งเสริมการลดผลกระทบเชิงลบจากกิจกรรมมนุษย์ แนวทางเหล่านี้ช่วยให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมกับส่งเสริมการเติบโตในระยะยาวที่เป็นมิตรกับโลกและชุมชน

 

 

ESG ย่อมาจาก Environmental, Social, and Governance ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้ในการประเมินและจัดการความเสี่ยงและโอกาสในองค์กรโดยพิจารณาจาก 3 ด้านหลัก คือ

1.Environmental (สิ่งแวดล้อม)

การพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขององค์กร เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และการใช้พลังงานทดแทน

2.Social (สังคม)
การดูแลและส่งเสริมผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและชุมชน เช่น สิทธิแรงงาน การคุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ความหลากหลายและการไม่เลือกปฏิบัติ การสนับสนุนชุมชน

3.Governance (การกำกับดูแล)
การตรวจสอบและประเมินการบริหารจัดการภายในองค์กร เช่น ความโปร่งใส การป้องกันการทุจริต การมีระบบตรวจสอบที่เข้มงวด และการตัดสินใจที่เป็นธรรม

รวมเรื่องราวกระแสความยั่งยืนที่มาแรงในปี 2024 เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นผลดีต่อในอนาคต

 

 

 

 

Climate Fintech เทคโนโลยีการเงินเพื่อการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและส่งเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

การซื้อขายเครดิตคาร์บอน (Carbon Credit Trading) ช่วยให้องค์กรสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยการซื้อขายเครดิตคาร์บอนที่เกิดจากโครงการลดการปล่อยก๊าซ เช่น การปลูกป่า แพลตฟอร์มเช่น Gideon ในประเทศไทยช่วยให้การซื้อขายเครดิตคาร์บอนเป็นไปอย่างสะดวกและโปร่งใสมากขึ้น โดยการใช้ บล็อกเชน ใน Climate Fintech เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการซื้อขายเครดิตคาร์บอน ลดความเสี่ยงจากการทุจริต ขณะเดียวกันก็มี แพลตฟอร์มการลงทุนในโครงการยั่งยืน เช่น โครงการพลังงานทดแทน หรือฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล การใช้ การวิเคราะห์ข้อมูล ยังช่วยประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและช่วยในการบริหารจัดการการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนี้

ข้อดีของ Climate Fintech
1. ความโปร่งใส
การใช้บล็อกเชนทำให้การซื้อขายเครดิตคาร์บอนและการลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมมีความโปร่งใส ช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ในทุกขั้นตอน

2.ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
Climate Fintech ช่วยส่งเสริมการลงทุนในโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น พลังงานทดแทน หรือการฟื้นฟูป่า ซึ่งเป็นการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

3.การเข้าถึงที่ง่ายขึ้น
แพลตฟอร์มต่าง ๆ ช่วยให้การซื้อขายเครดิตคาร์บอนและการลงทุนในโครงการยั่งยืนทำได้ง่ายขึ้น ผู้ลงทุนหรือองค์กรสามารถเข้าถึงกลไกเหล่านี้ได้สะดวกและรวดเร็ว

4.สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
การลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน โดยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์

5.เพิ่มโอกาสทางการเงิน
Climate Fintech เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนทางการเงินควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบที่ดีต่อโลก

 

Climate Fintech เป็นเครื่องมือที่ช่วยใช้เทคโนโลยีการเงินเพื่อส่งเสริมการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยการสร้างความโปร่งใสและความเข้าถึงได้ง่ายในกลไกต่าง ๆ เช่น การซื้อขายเครดิตคาร์บอน การลงทุนในโครงการที่ยั่งยืน และการใช้บล็อกเชนในการตรวจสอบข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

 

 

 

 

การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน (ESG Disclosure)

การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน (ESG Disclosure) เป็นกระบวนการที่องค์กรเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น นักลงทุน ลูกค้า และสาธารณชน ได้รับทราบและประเมินความรับผิดชอบและความยั่งยืนขององค์กร

 

 

ความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูล ESG
1.สร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่น การเปิดเผยข้อมูล ESG ช่วยให้องค์กรแสดงถึงความรับผิดชอบและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
2.สนับสนุนการตัดสินใจของนักลงทุน ข้อมูล ESG ที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ ช่วยให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน การเปิดเผยข้อมูล ESG กระตุ้นให้องค์กรพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับหลักการความยั่งยืน และตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

 

 

แนวทางการเปิดเผยข้อมูล ESG
1.การประเมินประเด็นที่มีนัยสำคัญ (Materiality Assessment) องค์กรควรระบุและประเมินประเด็น ESG ที่มีความสำคัญต่อธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดขอบเขตและเนื้อหาของการรายงาน
2.การจัดทำรายงานความยั่งยืน องค์กรควรจัดทำรายงานที่สรุปผลการดำเนินงานด้าน ESG โดยใช้มาตรฐานสากล เช่น GRI Standards หรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เพื่อให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือและสามารถเปรียบเทียบได้
3.การเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง การเปิดเผยข้อมูลควรเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับข้อมูลที่ทันสมัยและสามารถติดตามความคืบหน้าขององค์กรได้

 

มาตรฐานและแนวทางการรายงาน ESG ในประเทศไทย
1.สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ได้กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูล ESG ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) เพื่อให้ข้อมูลมีความสอดคล้องและสามารถเปรียบเทียบได้ 

2.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ได้จัดทำ “คู่มือการรายงานความยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียน” และ “เอกสารแนะนำตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน (ESG Metrics) ตามกลุ่มอุตสาหกรรม” เพื่อเป็นแนวทางการเปิดเผยข้อมูล ESG ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและความต้องการของผู้ลงทุน

 

การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน (ESG Disclosure) คือกระบวนการที่องค์กรเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถประเมินความรับผิดชอบและความยั่งยืนขององค์กร ข้อมูล ESG ช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่น สนับสนุนการตัดสินใจของนักลงทุน และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน องค์กรควรประเมินประเด็นที่สำคัญ ทำรายงานความยั่งยืนตามมาตรฐานสากล และเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ในประเทศไทย ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูล ESG ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี และคู่มือการรายงานความยั่งยืนตามกลุ่มอุตสาหกรรม

 

 

 

 

AI for Sustainability การใช้ AI แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน ดังนี้

  1. การติดตามและประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่น การลดลงของพื้นที่ป่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการตรวจจับการปล่อยมลพิษในอากาศและน้ำ
  2. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
    AI ช่วยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การจัดการน้ำ การเกษตร และการจัดการพลังงาน โดยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำนายและปรับใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การตรวจสอบสภาพดินและน้ำ การคาดการณ์สภาพอากาศ และการกำหนดปริมาณน้ำและปุ๋ยที่ต้องการสำหรับพืชแต่ละชนิด
  3. การลดการปล่อยมลพิษ
    AI ช่วยในการวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการปล่อยมลพิษ นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยในการพัฒนาและจัดการระบบพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 
  4. การพัฒนาระบบการจัดการขยะที่ชาญฉลาด
    AI สามารถใช้ในการพัฒนาระบบการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ เช่น การคัดแยกขยะอัตโนมัติ การคาดการณ์ปริมาณขยะ และการวางแผนเส้นทางการเก็บขยะที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 
  5. การพัฒนาระบบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
    AI ช่วยในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ลดการปล่อยมลพิษ เช่น การวางแผนเส้นทางการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า และการจัดการการจราจรอัจฉริยะ เพื่อลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่ง 

การใช้ AI ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมนำเสนอโอกาสที่น่าตื่นเต้นในการปรับปรุงการจัดการทรัพยากร การติดตามและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การใช้ AI ในด้านนี้ยังคงมีความท้าทาย เช่น ความต้องการข้อมูลที่มีคุณภาพสูง การใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่มาก และความจำเป็นในการมีกรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสม ในการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ นักพัฒนาเทคโนโลยี และผู้กำหนดนโยบาย จะช่วยให้การใช้ AI เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

 

การเพิ่มการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles: EVs) เป็นหนึ่งในเทรนด์ความยั่งยืนที่สำคัญในปี 2024 โดยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยและทั่วโลก

ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในอนาคต

รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร โดยในช่วงปี 2565-2566 จะเน้นสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ทั้งการนำเข้ารถยนต์และจักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 2,658 สถานี เพื่อรองรับการใช้งาน

การใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามีประโยชน์ในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเชื้อเพลิงเมื่อเทียบกับยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน

การเพิ่มการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2024 ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืนที่มุ่งเน้นการลดมลพิษและการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

แนวโน้มการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

ปี 2022: ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารวม (BEV, PHEV, HEV) อยู่ที่ 71,450 คัน คิดเป็น 20.52% ของยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งทั้งหมด
ปี 2023: ยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 168,425 คัน คิดเป็น 41.39% ของยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งทั้งหมด โดยรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV เติบโตจาก 3% เป็น 18.08%
ปี 2024: คาดว่าตลาด EV จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการเติบโตได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของภาครัฐ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้า

ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านนโยบายต่าง ๆ และคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในอนาคต

 

 

 

 

ความหลากหลายทางชีวะภาพความสำคัญและมาตรการในการอนุรักษ์
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) หมายถึง ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก รวมถึงพันธุ์พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ตลอดจนระบบนิเวศที่พวกมันอาศัยอยู่ การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนของระบบนิเวศและการดำรงชีวิตของมนุษย์

 

 

ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ
เสถียรภาพของระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพช่วยให้ระบบนิเวศมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น
บริการทางนิเวศ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มีบทบาทในการให้บริการทางนิเวศ เช่น การควบคุมศัตรูพืช การผสมเกสร และการหมุนเวียนสารอาหาร
คุณค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นแหล่งทรัพยากรสำหรับการเกษตร การแพทย์ และวัฒนธรรมของมนุษย์

 

 

มาตรการในการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ
1. การอนุรักษ์พื้นที่ธรรมชาติ การจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองและการฟื้นฟูพื้นที่ที่ถูกทำลาย เพื่อรักษาที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
2.การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน การใช้วิธีการเกษตรที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การเกษตรอินทรีย์ และการปลูกพืชหลากหลายชนิด
3.การควบคุมการค้าสัตว์ป่า การป้องกันและควบคุมการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์
4.การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้ การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและวิธีการอนุรักษ์

 

 

กรณีศึกษาจากองค์กรต่าง ๆ
เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group)
มุ่งเน้นการลดผลกระทบเชิงลบจากการดำเนินธุรกิจต่อธรรมชาติ และเพิ่มผลกระทบเชิงบวก เช่น การส่งเสริมการทำเกษตรกรรมแบบยั่งยืน การปลูกป่าและการฟื้นฟูป่า การปกป้องสัตว์ป่า และการฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำ

ไทยเบฟเวอเรจ (ThaiBev)
มุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการกำจัดการตัดไม้ทำลายป่าและส่งเสริมการปกป้องและการจัดการระบบนิเวศทางธรรมชาติที่มีมูลค่าสูง

การรักษาและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้โลกของเรายังคงมีความหลากหลายและสมดุลทางธรรมชาติสำหรับคนรุ่นต่อไป

 

ความหลากหลายทางชีวภาพหมายถึง ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตบนโลก รวมถึงพืช สัตว์ จุลินทรีย์ และระบบนิเวศที่พวกมันอาศัยอยู่ การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพมีความสำคัญต่อเสถียรภาพของระบบนิเวศ และการให้บริการทางนิเวศที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ เช่น การควบคุมศัตรูพืช การผสมเกสร และการหมุนเวียนสารอาหาร รวมถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม มาตรการในการอนุรักษ์ได้แก่ การอนุรักษ์พื้นที่ธรรมชาติ การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน การควบคุมการค้าสัตว์ป่า และการสร้างความตระหนักรู้ โดยองค์กรต่าง ๆ เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และไทยเบฟเวอเรจ (ThaiBev) ได้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ยังมีแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนครอบคลุมหลายด้านที่สำคัญ ได้แก่

1.การลงทุนที่ยั่งยืน (Sustainable Investing)
การลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เพื่อสร้างผลตอบแทนทางการเงินควบคู่กับผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 

2.พลังงานทดแทน (Renewable Energy)
การใช้แหล่งพลังงานที่ไม่หมดไป เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล เพื่อทดแทนการใช้พลังงานฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมความยั่งยืน 

3.การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม (Environmental Restoration)
การดำเนินการเพื่อฟื้นฟูและรักษาสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม เช่น การปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

4.การสร้างชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly Communities)
การพัฒนาชุมชนที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การลดมลพิษ และการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืน

5.การศึกษาและการรับรู้เรื่อง ESG (ESG Education and Awareness)
การเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ ESG ในกลุ่มนักลงทุนและประชาชน เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนครอบคลุมการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัย ESG เพื่อสร้างผลตอบแทนทางการเงินและผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิลและส่งเสริมความยั่งยืน การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่าและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับ ESG เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและการสร้างชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การลดมลพิษ และการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืน การศึกษาและการรับรู้เรื่อง ESG ก็เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความรู้และส่งเสริมการตัดสินใจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวทางที่ช่วยเสริมสร้างสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคต

 

ที่มา: https://www.sdthailand.com/2023/12/sustainability-future-trends-ahead-2024/

            https://www.scgchemicals.com/th/articles/stories/1701872118

             https://www.linkedin.com/pulse/5-sustainability-trends-follow-2024-apiday-rzkce/?trk=public_post