แกร็บ เปิดฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอน ผ่านการบริจาคเงินผู้ใช้บริการ ปลูกป่าแล้ว 2 แสนต้น

แกร็บ เปิดฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอน ผ่านการบริจาคเงินผู้ใช้บริการ ปลูกป่าแล้ว 2 แสนต้น

เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนทำให้กิจกรรมลดโลกร้อนทำได้สะดวกขึ้น เช่น การเปิดฟีเจอร์ปลูกป่าชดเชยคาร์บอน สู่ป่า GrabForGood ผลิตผลของโครงการชดเชยคาร์บอนจากการมีส่วนร่วมบริจาคเงิน 1-2 บาทของผู้ใช้บริการแกร็บ เพื่อนำไปปลูกต้นไม้ 

 

หลายคนอาจเคยตั้งคำถามว่า เหตุใดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างออกมาแสดงจุดยืนและประกาศนโยบายในด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มข้น รวมถึงเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)                     กันอย่างจริงจัง 

นั่นเป็นเพราะเราทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลต่อภาวะโลกรวน (Global Warming) รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ อย่างปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ในเชิงธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราทุกคนทั้งทางตรงและทางอ้อม ล้วนมีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวการหลักที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมดังกล่าว 

 

 

แกร็บ (Grab) ในฐานะผู้ให้บริการแอปพลิเคชันคนไทย และผู้ใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นหนึ่งในองค์กรภาคเอกชนที่มีความตื่นตัวและขับเคลื่อนนโยบายในด้านสิ่งแวดล้อม โดยบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันและบริการเดลิเวอรีมีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากยานยนต์บนท้องถนน เช่นกัน  

 

ประกาศเป้าหมายความยั่งยืน Grab’s ESG Goals

ดังนั้น ในปี 2565 แกร็บจึงได้ประกาศเป้าหมายในด้านความยั่งยืนขององค์กร (Grab’s ESG Goals) ซึ่งรวมถึงประเด็นในด้านสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินต่างๆ ในวงจรธุรกิจ พร้อมตั้งเป้าที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนทั่วทั้งภูมิภาคให้ได้ภายในปี 2583 ผ่าน 4 แนวทางสำคัญ คือ 

 

1.การส่งเสริมให้เปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำอย่างรถ EV 

2.การใช้พลังงานทดแทนในสำนักงานต่างๆ ในทุกประเทศ 

3.การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจและลดผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อม 

4.การดำเนินโครงการที่มุ่งลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอน พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมกับคนในวงจรธุรกิจ 

 

 

เปิดฟีเจอร์ร่วมบริจาคเงินซื้อคาร์บอนเครดิต

เห็นพัฒนาการต้นไม้ กลายเป็นผืนป่า

หนึ่งในโครงการสำคัญที่แกร็บริเริ่มและดำเนินการมากว่า 3 ปี คือ โครงการชดเชยคาร์บอน ผ่านการพัฒนาฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset Feature) ที่เปิดให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคเงินเพื่อซื้อคาร์บอนเครดิต และนำไปปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยแกร็บได้ร่วมมือกับพันธมิตรรายสำคัญอย่าง EcoMatcher แพลตฟอร์มตัวกลางที่ทำงานร่วมกับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการปลูกต้นไม้ในท้องถิ่น โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าไปดูข้อมูลและเยี่ยมชมต้นไม้ที่งอกเงยจากเงินบริจาคของผู้ใช้บริการ ซึ่งวันนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ป่า ‘GrabForGood’ 

 

 

ผู้ใช้บริการบริจาคเงิน 1-2 บาท 

หนุนโครงการคาร์บอนเครดิต

วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เล่าว่า แกร็บได้เริ่มเปิดตัวฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอนบนแอปพลิเคชัน Grab มาตั้งแต่ในปี 2564 พร้อมเชิญชวนให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคเงินจำนวน 2 บาทสำหรับบริการเดินทางด้วยรถยนต์ หรือจำนวน 1 บาทสำหรับบริการเดลิเวอรีหรือบริการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ โดยเงินบริจาคเหล่านี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการคาร์บอนเครดิต เพื่อชดเชยคาร์บอนที่เกิดจากการใช้บริการบนแพลตฟอร์มของ Grab และโครงการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว

 

บริจาคผ่านการเรียกรถ-สั่งอาหารดิลิเวอรี่ 

ปลูกป่าไปแล้วกว่า 2 แสนต้น 

“หลังเปิดตัวมาเกือบ 3 ปี ฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอนได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากผู้ใช้บริการในประเทศไทย โดยในปีที่ผ่านมา (2566) มีการร่วมบริจาคเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนหน้า โดยบริจาคผ่านการใช้บริการเรียกรถและสั่งอาหารรวมกันมากกว่า 24 ล้านครั้ง โดยเงินบริจาคเหล่านี้จะถูกนำไปซื้อคาร์บอนเครดิต พร้อมใช้ในโครงการปลูกป่า GrabForGood ที่ได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอย่าง EcoMatcher และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ชื่อ Conserve Natural Forests (CNF) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ท้องถิ่น ทั้งยังได้นำเทคโนโลยีมาช่วยระบุตำแหน่งและข้อมูลของต้นไม้ ทำให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งปัจจุบันได้ปลูกต้นไม้ในประเทศไทยไปแล้วกว่า 200,000 ต้นในจังหวัดกระบี่และแม่ฮ่องสอน”วรฉัตร กล่าว

ทั้งนี้ แกร็บ (Grab) คือ ผู้พัฒนาซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมกว่า 700 เมืองใน 8 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม บริการภายในแอปพลิเคชันเดียว ได้แก่ การสั่งอาหาร การสั่งซื้อสินค้าและของชำ การจัดส่งพัสดุเอกสาร การเรียกรถรับ-ส่งหรือแท็กซี่ ไปจนถึงการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ทั้งการขอสินเชื่อและการทำประกัน 

 

 

พลิกมุมมองการปลูกต้นไม้ให้สนุก 

โปร่งใส เข้าถึงง่ายด้วยเทคโนโลยี

สำหรับ EcoMatcher ถือกำเนิดมาแล้วกว่า 8 ปีในฐานะแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างแบรนด์และองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการปลูกต้นไม้ โดยปัจจุบันได้ดำเนินโครงการปลูกต้นไม้ใน 14 ประเทศ ครอบคลุมทั้งทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ ตะวันออกกลางและเอเชีย พร้อมส่งเสริมให้คนในท้องถิ่นมีส่วนในการปลูกและดูแลต้นไม้เหล่านั้น ที่สำคัญคือคือมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการช่วยเก็บข้อมูลของการปลูกต้นไม้ โดยบนแพลตฟอร์มของ EcoMatcher จะมีข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่พิกัดของต้นไม้ ภาพของต้นกล้าที่ปลูก สายพันธุ์ต้นไม้ ประวัติของคนปลูก รวมไปถึงการฟังเสียงป่า และการพูดคุยกับต้นไม้ผ่านเทคโนโลยี Chatbot 

บาส ฟรานเซน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EcoMatcher กล่าวว่า EcoMatcher เกิดมาจากแนวคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้ของขวัญขององค์กรที่มักจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติก มาเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางใจและเป็นประโยชน์ต่อโลก เราจึงได้ร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็น มูลนิธิหรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) ที่มีความเชี่ยวชาญในการปลูกต้นไม้ พัฒนาแอปพลิเคชันติดตามต้นไม้ที่ชื่อว่า ‘TreeCorder’ เพื่อให้องค์กรเหล่านี้สามารถเก็บข้อมูลต้นไม้ที่ปลูกทุกต้นได้ ทำให้การสนับสนุนการปลูกต้นไม้มีความโปร่งใสและเข้าถึงง่าย และเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์ต่างๆ ในการใช้การปลูกต้นไม้เป็นของขวัญให้กับลูกค้า หรือเชิญชวนให้ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ เช่นเดียวกับ Grab ที่เชิญชวนให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อปลูกต้นไม้ชดเชยคาร์บอกน โดยทุกคนสามารถเข้าไปเยี่ยมชมต้นไม้ผ่านแพลตฟอร์มของ EcoMatcher ได้