เศรษฐกิจคนขี้เกียจ หรือ Lazy Economy เป็นตลาดที่น่าจับตามอง จากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่เคลื่อนตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล เวลายังหมดไปกับการทำงาน ทำให้เลือกที่จะใช้เงินแก้ปัญหา ซื้อความสะดวกสบายในสินค้าและบริการ ผลวิจัย ‘เจาะลึกอินไซต์ พิชิตใจคนขี้เกียจ’ ของ CMMU พาไปทำความรู้จักกับพฤติกรรมสุดขี้เกียจของผู้คน ที่กลายเป็นโอกาสให้อีกหลายธุรกิจ
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล และการแข่งขันทางธุรกิจที่รัดตัว ทำให้เวลาของผู้คนหมดไปกับการทำงานหารายได้ เมื่อมีเวลาจำกัด และมีรายได้เพียงพอจับจ่าย กลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนเมือง ต้องการความสะดวกสบาย แม้กระทั่งกิจกรรมง่ายๆ หรือใช้เวลาไม่มากก็ไม่อยากทำเอง เรียกว่า ‘ใช้เงินแก้ปัญหา’
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวิถีใหม่ที่เรียกว่า Lazy Economy (เศรษฐกิจคนขี้เกียจ) เทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ยังมีสถิติที่น่าสนใจพบว่า ธุรกิจสตาร์ทอัพทั่วโลกกว่า 34% ทำธุรกิจเพื่อสนับสนุนคนขี้เกียจอีกด้วย
นี่คือข้อมูลของ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ที่นำมาบอกเล่า เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า ‘ตลาดคนขี้เกียจ’ ยังคงเป็นที่จับตามองและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงอนาคต ที่เสนอผ่านผลงานวิจัย ‘เจาะลึกอินไซต์ พิชิตใจคนขี้เกียจ’
ผศ.ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด จาก CMMU พาไปทำความรู้จักกับพฤติกรรมสุดขี้เกียจของผู้คน (LAZY Consumer) ที่กลายเป็นโอกาสให้อีกหลายธุรกิจ
4 สุดยอดพฤติกรรมขี้เกียจ
1.ขี้เกียจเดินทาง – เพราะการไปไหนมาไหนแต่ละที เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ที่ไปทางไหนก็เจอแต่รถติด LAZY Consumer จึงยอมจ่ายเพื่อซื้อเวลา ส่งผลให้สินค้าและบริการต่างๆ ที่ช่วยลดการเดินทางตอบโจทย์และเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น บริการ Delivery ทุกรูปแบบ ทั้งส่งอาหาร ส่งของ ซึ่งปัจจุบันได้แตกไลน์บริการเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่น บริการส่งด่วนทันใจภายใน 24 ชั่วโมง บริการแบบ Door-to-Door Service จากหน้าบ้านผู้ส่งถึงหน้าบ้านผู้รับ ฯลฯ
บริการแบบส่งตรงถึงบ้าน เช่น ทำสปา เสริมสวย นวดแผนไทย ล้างรถ อาบน้ำตัดขนสัตว์เลี้ยง ฯลฯ รวมถึงการช็อปออนไลน์ทุกช่องทาง ซึ่งล้วนแต่เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าและได้รับบริการต่างๆ อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
2.ขี้เกียจรอ – ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างรวดเร็ว ทันใจไปหมด ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมาก
ติดนิสัยไม่ชอบการรอคอย ชอบอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ และไม่เสียเวลา ทำให้เกิดธุรกิจที่เน้นความรวดเร็ว สะดวกสบาย ไม่ต้องรอนาน เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เช่น ธุรกิจรับจ้างต่อคิว ไม่ว่าจะเป็นการต่อคิวซื้อของ ต่อคิวร้านอาหารยอดฮิต ต่อคิวซื้อบัตรคอนเสิร์ต หรือแม้แต่ต่อคิวทำธุระที่หน่วยงานราชการ หรือบริการจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกลุ่มสินค้าและบริการที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด และเพิ่มฟังก์ชันที่ช่วยให้ทำทุกอย่างได้แบบครบจบในที่เดียว เช่น บริการแบบ One stop Service แพลตฟอร์มซูเปอร์แอป ที่รวมหลายๆ บริการไว้ในที่เดียว
3.ขี้เกียจออกแรง – ผู้บริโภคจำนวนมาก ยังชอบอยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน จึงชอบหาวิธีหรือทางลัดต่างๆ ที่จะช่วยให้ออกแรงน้อยที่สุด จึงมักเลือกใช้สินค้าหรือบริการที่ช่วยทุ่นแรงหรือให้คนมาทำแทนได้ ส่งผลให้สินค้าและบริการที่ช่วยลดภาระในชีวิตประจำวันขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เช่น บริการทำความสะอาดบ้าน จัดสวน ซักรีด ย้ายบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
4.ขี้เกียจคิด ขี้เกียจตัดสินใจ – เพราะลำพังชีวิตประจำวันก็มีเรื่องให้คิดให้ตัดสินใจเต็มไปหมด ชาว LAZY Consumer จึงชอบที่จะอยู่ในสภาวะทิ้งตัว และมองหาสินค้าและบริการที่ช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น ไม่ต้องคิดเยอะ ธุรกิจแบบจัดการให้จบ ครบวงจร คิดมาให้พร้อม ไม่ต้องเสียเวลาวางแผนหรือจัดการเองจึงเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น บริการวางแผนท่องเที่ยวแบบครบวงจรบริการจัดงานแต่งงาน บริการสไตลิสต์ส่วนตัวที่จัดส่งสินค้าไปให้ทดลองใส่ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือสินค้าที่จัดเป็น Set และสินค้าสำเร็จรูปพร้อมใช้ต่างๆ เช่น ชุดอาหารพร้อมปรุง (Meal Kit)
‘เศรษฐกิจคนขี้เกียจ’ เทรนด์ธุรกิจแรง ไม่มีแผ่ว
ผลวิจัยดังกล่าวยังระบุว่า แม้จะยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดเกี่ยวกับมูลค่าของ Lazy Economy ทั่วโลก แต่จากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจ Delivery และช้อปปิ้งออนไลน์ต่างๆ ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าตลาดนี้มีศักยภาพมหาศาลและมีแนวโน้มเติบโตอีกมากทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยมีพฤติกรรมของผู้คนเป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่
-ยิ่งหาเงินได้มาก ก็ยิ่งอยากใช้เงินแก้ปัญหา ไม่ว่าใครก็ชอบความรวดเร็ว สะดวกสบาย และไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด การใช้เงินแก้ปัญหาเพื่อซื้อความสะดวกสบายก็จะยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้สูง ยิ่งมีรายได้สูงเท่าไหร่แนวโน้มที่จะใช้เงินซื้อความสะดวกสบายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
-ยิ่งทำงานหนัก ก็ยิ่งไม่อยากทำอะไร เพราะลำพังแค่ทำงานอย่างเดียวก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากไปคิดหรือทำอะไรต่อแล้ว ดังนั้น ตราบใดที่คนยังต้องทำงานหนักและมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ สินค้าหรือบริการที่ช่วยทุ่นพลังกาย พลังสมอง และทุ่นเวลาจึงไม่มีทางตกเทรนด์
-ยิ่งเทคโนโลยีเจริญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนขี้เกียจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีคือผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของมนุษย์ขี้เกียจ ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาเจริญก้าวหน้าเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างยิ่งง่ายเพียงแค่ขยับปลายนิ้ว เพิ่มความสะดวกสบายให้ชีวิตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ตราบใดที่ผู้คนยังแสวงหาทางลัดมาช่วยทำให้ชีวิต ง่าย รวดเร็ว สะดวกสบาย เศรษฐกิจขี้เกียจก็จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดไป ไม่มีวันตกเทรนด์ โอกาสแจ้งเกิดธุรกิจใหม่ๆ จึงยังเปิดกว้างเสมอสำหรับผู้ที่มองเห็น” ผศ.ดร.บุญยิ่ง กล่าวปิดท้าย