Björk ศิลปินไร้พรมแดนกับภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม: เสียงจากไอซ์แลนด์เพื่อโลกที่ดีกว่า

Björk ศิลปินไร้พรมแดนกับภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม: เสียงจากไอซ์แลนด์เพื่อโลกที่ดีกว่า

ศิลปินสาวผู้มีเอกลักษณ์เหนือกาลเวลาอย่าง Björk ไม่เคยจำกัดตนเองอยู่ภายใต้กรอบของดนตรีแบบใดแบบหนึ่ง เธอเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลคู่ขนานที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งความฝัน สร้างสรรค์ผลงานที่เต็มไปด้วยจินตนาการอันล้ำลึก ทว่าเบื้องหลังภาพลักษณ์เหนือจริงนั้น เธอกลับแทรกความจริงอันเย็นชาอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในประเด็นที่เธอเชื่อว่า จำเป็นต้องต่อสู้อย่างสุดกำลัง เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม

 

 

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Björk ได้เปิดตัวภาพยนตร์คอนเสิร์ต Cornucopia ที่รวมเอาศิลปะ ดนตรี และสารทางสิ่งแวดล้อมไว้ด้วยกันอย่างทรงพลัง การแสดงที่มีทั้งภาพเห็ดขนาดยักษ์ การขับร้องโดยคณะนักร้องประสานเสียง Hamrahlíð จากไอซ์แลนด์ และคำประกาศที่ย้ำถึงวิกฤตสิ่งแวดล้อม โดยเธอกล่าวถึงข้อตกลงปารีสว่าเป็น “อุดมคติใหม่ของโลกที่แทบจินตนาการไม่ได้” แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่การอยู่รอดของมนุษย์

Björk อธิบายผ่าน Zoom ว่า เป้าหมายของเธอคือการ “กำหนดกรอบความคิดใหม่เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นไปได้” เพราะเป้าหมายในข้อตกลงปารีสดูเหมือนจะไกลเกินเอื้อม เธอจึงเสนอว่าเราควรกำหนดเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้จริง และเดินหน้าอย่างจริงจัง

 

แม้ชื่อเสียงของเธอจะก้องโลก แต่ศิลปินวัย 59 ปีผู้นี้ยังคงยึดถือแนวคิดแบบอินดี้และยืนหยัดด้วยหลักการของตัวเอง เธอเลือกสู้เพียงหนึ่งประเด็นในแต่ละช่วงเวลา โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา เธอมุ่งมั่นต่อสู้กับอุตสาหกรรมฟาร์มปลาแซลมอนเชิงพาณิชย์ในไอซ์แลนด์ หลังจากเกิดเหตุปลารั่วไหลจากฟาร์ม ทำให้ปลาแซลมอนเลี้ยงหลุดไปในธรรมชาติ อาจก่อให้เกิดการผสมข้ามสายพันธุ์กับแซลมอนพื้นเมือง หรือแพร่เชื้อโรคและปรสิตซึ่งเสี่ยงต่อระบบนิเวศอย่างมาก

 

“บางครั้งมันก็ยากที่จะเชื่อมโยงคนรุ่น Gen Z ที่กินมังสวิรัติกับเกษตรกรที่ฆ่าแกะทุกฤดูใบไม้ร่วง แต่กับเรื่องฟาร์มปลาแซลมอนนี้ ทุกคนกลับเห็นตรงกัน”

 

เธอกล่าว ด้วยเป้าหมายนี้ เธอจึงปล่อยเพลง “Oral” เพลงที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน โดยร่วมมือกับศิลปินสาว Rosalía รายได้จากเพลงถูกนำไปใช้สนับสนุนคดีฟ้องร้องอุตสาหกรรมประมงเชิงพาณิชย์ที่ยังดำเนินอยู่ ซึ่ง Björk ตั้งเป้าว่าผลของคดีจะเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นๆ ได้ใช้ต่อสู้เช่นกัน

 

ความใส่ใจของเธอต่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉาบฉวย แต่หยั่งรากลึกจากประวัติครอบครัว โดยเฉพาะแม่ของเธอที่เคยอดอาหารประท้วงถึง 18 วันเมื่อปี 2002 เพื่อต่อต้านการสร้างโรงงานหลอมอลูมิเนียมในพื้นที่ธรรมชาติของไอซ์แลนด์ เธอบอกว่า

“ทุกครั้งที่ฉันทำอะไรในไอซ์แลนด์ ฉันจะติดต่อกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเสมอ เรานั่งดื่มกาแฟในห้องนั่งเล่นและพูดคุยกัน”

 

แม้จะมีชื่อเสียงระดับโลก แต่เธอยังคงรักษาความเป็นอิสระตามแบบฉบับของศิลปินพังค์ยุค 90 “ฉันไม่เคยได้รับเงินทุนจากใคร” เธอกล่าวอย่างภาคภูมิใจ กระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา เมื่อภัณฑารักษ์ของศูนย์ปอมปิดู (Centre Pompidou) ขอให้เธอสร้างแถลงการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับพิพิธภัณฑ์ เธอจึงเห็นโอกาสในการหลอมรวมศิลปะ เทคโนโลยี การเมือง และธรรมชาติ ผ่านผลงานที่ใช้เสียงของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จริงๆ โดยอาศัย AI มาช่วยในการแปลงเสียงเหล่านั้นเป็นคำพูดของเธอ

 

“ฉันให้ไมโครโฟนกับพวกมัน พวกมันพูดซ้ำทุกคำกับฉัน” เธอกล่าวอย่างมีความหมาย รายชื่อสัตว์ที่ปรากฏในผลงานของเธอมีตั้งแต่ อีกาฮาวาย อุรังอุตัง ไปจนถึงโลมาหายาก เธอใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฟังเสียงนกทั่วโลก เพื่อตามหานกที่ “ตื่นเต้นที่สุด” ซึ่งสามารถถ่ายทอดอารมณ์ในผลงานได้ดีที่สุด

ไม่ใช่แค่การแสดงหรือคำพูด Björk ยังมองหาการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม เธอเรียกร้องให้ภัณฑารักษ์ของศูนย์ปอมปิดูช่วยระดมนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ในการรวบรวมรายชื่อยื่นคำร้องต่อประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เพื่อเรียกร้องให้มีการ “ห้ามการลากอวนลาก” ในน่านน้ำที่ได้รับการคุ้มครองของประเทศ เพราะนี่คือเป้าหมายที่ชัดเจน มีผลกระทบจริง และสามารถเกิดขึ้นได้

 

“ฉันพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดจากการที่ฉันมาจากประเทศเล็กๆ ที่ยังคงไม่ถูกแตะต้องมากนัก แทนที่จะทำ 10 อย่าง ฉันขอทำอย่างเดียวให้ดีที่สุดและปฏิบัติตามมันอย่างเคร่งครัด”

Björk ทิ้งท้ายอย่างหนักแน่น

“ไม่ใช่แค่โผล่หน้าในแคมเปญหรือไปยืนถ่ายรูปในงานค็อกเทล แล้วกลับบ้านโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”