สถาบันไทยพัฒน์เผยข้อมูลจากมอนิ่งสตาร์ หุ้นESG ในไทยกว่า 113 กองทุน ส่วนใหญ่ หรือ สัดส่วนถึง 94% ข้ามลงทุนนอกประเทศ เพียง 22 กองทุนอยู่ในไทย เชื่อ Thai ESG Fund ปลุกกองทุนในไทยขยายวงไม่กระจุกตัวหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ ต้องกระตุ้นให้ทั้ง 886 หลักทรัพย์เปิดข้อมูล ESG โปร่งใสจากปัจจุบันเพียง 1 ใน 4
ดร. พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ ระบุถึงหุ้นESG พบข้อมูลการลงทุนกองทุนประเภท ESG (Environmental, Social and Governance) ในประเทศไทย จากการเปิดเผยของมอร์นิ่งสตาร์ ระบุว่า มีอยู่จำนวน 113 กองทุน แบ่งเป็นลงทุนในหุ้นไทย จำนวน 22 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.5 พันล้านบาท และลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 91 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 4.3 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท เรียกว่า กว่า 94% ของกองทุน ESG ที่ขายในไทยส่วนใหญ่ลงทุนในต่างประเทศ โดยมีเพียง 6 บลจ. ที่มีการออกกองทุน ESG ที่ลงทุนในหุ้นไทย
การที่ภาครัฐมีแนวคิดจัดตั้งกองทุน Thai ESG Fund เพื่อช่วยพยุงตลาด รวมทั้งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมีลักษณะคล้ายกองทุน LTF แต่มุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG เชื่อว่าจะส่งเสริมให้เกิดการออกกองทุน ESG ที่ลงทุนในหุ้นไทยกันมากขึ้น
ในจำนวนหุ้นไทยทั้งหมด 886 หลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน) จะมีหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูล ESG อยู่ราว 1 ใน 4 ของหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูง โดยมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมด
สถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้บุกเบิกการจัดทำฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ได้เล็งเห็นข้อจำกัดที่การเปิดเผยข้อมูล ESG มีการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ จึงได้ก่อตั้งประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (Sustainability Disclosure Community) ขึ้นในปี พ.ศ. 2562 สำหรับใช้เป็นแพลตฟอร์มในการส่งเสริมให้ธุรกิจได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูล ESG ให้กระจายครอบคลุมไปยังหลักทรัพย์อีกราว 3 ใน 4 ของตลาด เพื่อเป็นตัวเลือกในการลงทุนให้มีความหลากหลาย โดยรวมไปถึงบริษัทนอกตลาดและกิจการอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG เพิ่มเติม
ปัจจุบัน ข้อมูลผลประเมิน ESG ของกิจการในไทย ที่สถาบันไทยพัฒน์รวบรวม ครอบคลุมทั้งบริษัทจดทะเบียน กองทุน บริษัทนอกตลาด และกิจการอื่น มีจำนวนรวม 905 กิจการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูล ESG ดังกล่าวในวงกว้าง
ด้วยเหตุที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ในแง่ของการลงทุน จะมีส่วนที่ไปเติมเต็มการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขทางการเงิน โดยที่รายงานทางการเงินนั้น เป็นข้อมูลที่ผู้ลงทุนใช้วิเคราะห์การดำเนินงานของบริษัทที่เป็นการสะท้อนถึงผลประกอบการในอดีต (Past Performance)
ส่วนประเด็น ESG ซึ่งมีทั้งข้อมูลในเชิงปริมาณและคุณภาพนั้น ผู้ลงทุนจะใช้สำหรับประเมินการดำเนินงาน เพื่อคาดการณ์ถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตของบริษัท (Forward-looking Perspective)
ตัวอย่างรายการการลงทุนสีเขียวที่บริษัทมีการปรับปรุงหม้อไอน้ำของโรงไฟฟ้าโดยเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินมาเป็นพลังงานหมุนเวียนในการผลิตกระแสไฟฟ้า จะทำให้ล่วงรู้ว่าตัวเลขผลประกอบการในอนาคตจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น ด้วยการดำเนินงานในประเด็น ESG ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ประหยัดได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ การใช้ข้อมูล ESG เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างบริษัท สำหรับตัดสินใจลงทุน จะไม่สามารถใช้ประเด็น ESG ชุดเดียวกันร่วมกันได้ในทุกธุรกิจ อาทิ ธุรกิจการเงิน ประเด็น ESG สำคัญที่ต้องพิจารณา ได้แก่ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ประเด็นสาระสำคัญสำหรับธุรกิจที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม ที่ซึ่งการจัดการด้านพลังงาน น้ำ มลอากาศ และของเสีย จะเป็นประเด็น ESG ที่สำคัญต่อการพิจารณามากกว่า
ทำให้การประเมินการดำเนินงานโดยใช้ประเด็น ESG ทั่วไป (Generic Topics) ชุดเดียวกันสำหรับการให้คะแนน (Scoring) และการจัดระดับ (Rating) จะไม่มีนัยสำคัญในผลลัพธ์ที่ได้มากนัก
การประเมินข้อมูล ESG จึงจำเป็นต้องใช้ประเด็นจำเพาะในอุตสาหกรรม (Industry-specific Topics) สำหรับเปรียบเทียบ ให้คะแนน และจัดระดับบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
นอกจากนี้ ในการประเมินข้อมูลเชิงลึก ยังต้องอาศัยการพิจารณากลยุทธ์องค์กรในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญต่อบริษัท (Company-specific Topics) เพื่อให้ล่วงรู้ถึงทิศทางต่อการดำเนินงานในประเด็น ESG นั้น ๆ ว่า องค์กรใช้เป็นตัวขับคุณค่าในแง่ของการสร้างการเติบโต (Growth) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) หรือการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) โดยส่งผลต่อบรรทัดสุดท้ายของกิจการที่แตกต่างจากบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมนั้นอย่างไร
จากการประเมินข้อมูล ESG สำหรับคัดเลือกบริษัทเข้าเป็นองค์ประกอบของดัชนี Thaipat ESG จะครอบคลุมไปถึงการพิจารณาประเด็นจำเพาะในอุตสาหกรรม และประเด็นสาระสำคัญต่อบริษัทที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับผลประกอบการ เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนในมิติของการลงทุนที่ยั่งยืนว่า บริษัทที่มี ESG ดี จะสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีด้วย
Thaipat ESG Index เป็นดัชนี ESG แรกในประเทศไทย ที่ใช้การคำนวณดัชนีด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์เท่ากัน (Equal Weighed Index) คือ ให้ความสำคัญกับหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของดัชนีโดยไม่ขึ้นกับขนาดของหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะหลักทรัพย์จะมีขนาดเล็ก หรือ ใหญ่ ก็จะมีดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างทัดเทียมหมด
นี่จึงเป็นโอกาสที่หลักทรัพย์คุณภาพขนาดกลางและขนาดเล็กที่ผ่านเกณฑ์ด้าน ESG ของสถาบันไทยพัฒน์ สามารถส่งผลต่อค่าของดัชนีได้ทัดเทียมกับหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ โดยหากเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่าง Thaipat ESG Index (Total Return) ตั้งแต่วันฐาน (30 มิ.ย. 58) จนถึงวันที่ 13 พ.ย. 66 กับดัชนี SET100 และ SET50 (Total Return) พบว่า ดัชนี Thaipat ESG ให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 22.70% (หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 2.47% ต่อปี) ขณะที่ดัชนี SET100 และ SET50 ให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 10.74% และ 11.18% (หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 1.22% และ 1.27% ต่อปี) ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอดีตของดัชนี มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต