ม.มหิดล พัฒนายาใหม่ตามหลักผลิตภัณฑ์โภชนเภสัช นำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมาย BCG

ม.มหิดล พัฒนายาใหม่ตามหลักผลิตภัณฑ์โภชนเภสัช นำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมาย BCG


คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับอีก 8 ส่วนงานของมหาวิทยาลัยมหิดลพัฒนายาใหม่ โดยนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาแปลงเปลี่ยนสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ผ่านการขับเคลื่อนของ BCG Model

 

ด้วยต้นทุนอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของผืนแผ่นดินไทย คือความหวังสู่อนาคตที่รอคอยให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาแปลงเปลี่ยนสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ผ่านการขับเคลื่อนของ BCG Model ของรัฐที่ครอบคลุมทั้งทางด้าน Bio – Economy เศรษฐกิจชีวภาพ Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน และ Green Economy เศรษฐกิจสีเขียว

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ทิศทางของการปลูกพืชเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน จึงมุ่งไปที่การพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ “โภชนเภสัช” (Nutraceutical) เพื่อเป็นทางเลือกในการเสริมสร้างสุขภาวะ ซึ่งสอดคล้องกับกระแสนิยม (trend) ในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้คนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจบริโภคอาหารจากธรรมชาติเพื่อการดูแลสุขภาพ มากกว่าการรับประทานยาที่มีส่วนประกอบหลักจากสารเคมี ซึ่งเป็นที่หวั่นวิตกในเรื่องการมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย

รองศาสตราจารย์ เภสัชกรสุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดี กล่าวว่า เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้วที่คณะฯ ได้มีการศึกษาวิจัยด้านพืชสมุนไพรอย่างครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ การสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพรเพื่อพัฒนาสู่ยาในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการทดสอบประสิทธิภาพทางยาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ยาที่มีคุณภาพดีที่สุดสำหรับประชาชน

จนเมื่อกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ประกาศให้ทุกสถาบันอุดมศึกษาดำเนินตามนโยบายโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) ซึ่งในด้าน Drug Discovery คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกับอีก 8 ส่วนงานของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล (MB) และคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) พัฒนายาใหม่ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการร่วมสร้างแพลตฟอร์มขึ้นเพื่อสนับสนุนโครงการฯ

 

 

รองศาสตราจารย์ เภสัชกรสุรกิจ นาฑีสุวรรณ มองว่าการพัฒนายาใหม่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อมวลมนุษยชาติ แต่กว่าจะพัฒนาขึ้นมาได้ในแต่ละชนิด จำเป็นต้องใช้ทั้งงบประมาณเป็นจำนวนมหาศาล และต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ซึ่งใช้เวลายาวนาน ในขณะที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชเป็นการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพจากพืชสมุนไพรธรรมชาติที่มีอุดมสมบูรณ์อยู่แล้วในประเทศไทย มาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยใช้เวลาสั้นกว่า หาได้ทั่วไป ราคาไม่สูง และให้ผลข้างเคียงน้อย

ในขณะที่การพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมให้ผลผลิตที่มูลค่าต่ำ แต่มีการแข่งขันสูง รวมทั้งก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอีกมากมาย พืชสมุนไพรไทยที่กำลังเป็นที่น่าจับตา ได้แก่ กระชายขาว บัวบก ขมิ้นชัน ขิง พริก ฯลฯ พบว่าเมื่อนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชโดยผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้ได้ราคาที่สูงขึ้น สามารถช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโต และเข้มแข็งต่อไปได้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิงปัทมพรรณ โลมะรัตน์ หัวหน้าภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริมว่า ทิศทางการผลิตเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของไทยจากเดิมที่ว่า “More for Less” เน้นการผลิตในปริมาณมากแต่กลับพบว่ามีคุณภาพน้อย ปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาเป็น “Less for More” ที่ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพ

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของห่วงโซ่อุปทาน คือ ความต้องการของผู้บริโภค พบว่าปัจจุบันผู้บริโภคไม่ได้มองแต่เรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างเดียว แต่มองไปถึงกระบวนการผลิต และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย จะต้องมีความสอดคล้องกับข้อกำหนดมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชก็เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ควรมีการวางแผนในระยะยาว ไม่ใช่ปลูกกันตามกระแส เนื่องจากตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากจะให้ได้ผลที่คุ้มทุน อาจต้องใช้เวลาถึง 5 ปี

ซึ่งผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชที่น่าสนใจในช่วงวิกฤติ COVID-19 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย อาทิ ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายในแต่ละช่วงวัย เสริมสุขภาพจิต และการนอนหลับที่ดี ชะลอวัย และการออกกำลังกายก็กำลังมาแรง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรสมนึก บุญสุภา อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวย้ำถึงปัจจัยเรื่องความหลากหลายของผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง การนำเอาสินค้าจากการเกษตร หรือสมุนไพรมาผลิตเป็นโภชนเภสัชที่เหมือนตามกัน จะทำให้ไม่เกิดความแตกต่าง นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคร่วมด้วย จึงจะสามารถตอบโจทย์ในช่วงวิกฤติ COVID-19 นี้ได้เป็นอย่างดี

และที่สำคัญจะต้องมุ่งเน้นงานวิจัยและนวัตกรรมซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชที่มีคุณภาพ โดย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมเป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” ให้สังคมไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย BCG เพื่ออนาคตทางเศรษฐกิจที่ดีและยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป.